เครดิต : คมชัดลึก 10 ก.พ. 2555
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจด้านโรคมะเร็งทั่วประเทศทั้งภาครัฐภาคเอกชน ต่างร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานวันมะเร็งโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ของทุกๆ ปี องค์การอนามัยโลกหรือ WHO โดยสมาพันธ์ควบคุมโรคมะเร็งระหว่างประเทศเป็นหน่วยงานที่จัดการประชุมระดมสมองของผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งทั่วโลกว่า ในแต่ละปีจะเน้นหัวข้อการรณรงค์เรื่องอะไรของโรคมะเร็งเป็นพิเศษ โดยต้องสอดคล้องกับเป้าประสงค์หลักของการจัดงานวันมะเร็งโลกคือ เน้นให้ทุกประเทศทั่วโลกดำเนินการรณรงค์ด้านการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม หรืออีกนัยหนึ่งคือทำให้นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
ในปีนี้ใช้หัวข้อว่า “Together it is possible” หมายถึงหากเรารวมพลังร่วมแรงร่วมใจไปด้วยกัน ย่อมเป็นไปได้ที่จะแก้ปัญหาโรคมะเร็ง โดยมีเป้าหมายคือ ลดอัตราการตายจากโรคมะเร็งและโรคไม่ติดต่ออื่นๆ ให้ได้ร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2568 หรือในอีก 13 ปีข้างหน้า เหตุเพราะจากสถิติขององค์การอนามัยโลกพบว่าในปี พ.ศ. 2548 มีผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 7.8 ล้านคน และคาดว่าหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปแบบเอาไม่อยู่ไปเรื่อยๆ ในปี พ.ศ. 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงมากถึง 11.4 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาอันหมายรวมถึงพี่ไทยเราด้วย ดังนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจากองค์กรต่างๆ กว่า 60 ประเทศทั่วโลกจึงไม่สามารถนิ่งดูดาย ต้องกำหนดเป้าหมายเป็นตัวเลขให้ชัดเจนเพื่อให้ทุกประเทศสมาชิกนำไปถือปฏิบัติอย่างจริงจัง
อันว่าประเทศไทยเราก็มิได้น้อยหน้ากว่าประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ กล่าวคือ โรคมะเร็งครองแชมป์เพชฌฆาตมือวางอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตคนไทยสูงสุดต่อเนื่องมาตลอดนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา โดยมะเร็งตับทางเดินน้ำดี และมะเร็งปอด ครองเหรียญทองและเหรียญเงินตามลำดับในเพศชาย ส่วนในเพศหญิง มะเร็งเต้านมเพิ่งแซงโค้งเข้าเส้นชัยแทนแชมป์เก่าอย่างมะเร็งปากมดลูกเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยเรามีการดำเนินโครงการระดับชาติในการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ฟรีแก่กลุ่มเป้าหมาย โดยความร่วมมือกันระหว่างสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด และมีแผนที่จะดำเนินโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ระดับชาติในอนาคตอันใกล้นี้
เมืองไทยเราก็มีวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติคือวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี มีมาก่อน 4 กุมภาพันธ์วันมะเร็งโลกมานานหลายสิบปี เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารดำรงนิราดูรของสถาบันมะเร็งแห่งชาติในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2511 แต่อาจเป็นเพราะตรงกับวันรัฐธรรมนูญเลยทำให้น้อยคนที่จะรู้จัก น่าจะถึงเวลากำหนดให้ปัญหาโรคมะเร็งเป็นวาระแห่งชาติด้านสุขภาพอย่างจริงจังกันเสียทีนะครับหรือถ้ายังน้อยไปจะให้เป็นวาระแห่งภูมิภาคก็ขอยกสองมือสนับสนุนเต็มที่เลยล่ะครับ…ขอบอก