เครดิต : คมชัดลึก 28 ก.พ. 2557
สถานการณ์การเมืองในบ้านเราเวลานี้ หลายคนเปรียบเปรยเหมือนโรคมะเร็งร้ายที่เกาะกินบ้านกินเมืองมาหลายปี ต่างฝ่ายต่างหาวิธีการรักษาตามวิธีการและความเชื่อของตนเอง แต่โรคร้ายก็ยังไม่มีทีท่าจะทุเลาหรือสงบลง แต่กลับยิ่งลุกลามบานปลายทวีความรุนแรงไปทั่วประเทศ เสมือนมะเร็งร้ายกำลังแพร่กระจายไปทั่วร่างกายยังไงยังงั้น
วกมาเข้าเรื่องเจรจารักษาโรคมะเร็งของผู้ป่วยจริงๆ กันดีกว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการรักษามะเร็งของอวัยวะเดียวกัน แต่เป็นเซลล์มะเร็งคนละประเภทหรือเป็นเซลล์มะเร็งประเภทเดียวกันแต่คนละระยะของโรค วิธีการรักษาก็แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นคนที่อาจเคยมีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องเป็นมะเร็งอวัยวะนั้นอวัยวะนี้ แล้วมาเจรจาชักชวนให้ผู้ป่วยไปรักษาตามที่ตนเองรับรู้มาเพียงไม่กี่ราย อย่าไปทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด เพราะเป็นการทำบาปทำกรรมโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากไปให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับคนไข้ มิหนำซ้ำยังทำให้ผู้ป่วยสูญเสียโอกาสในการหายขาดจากโรคอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มต้นที่มีโอกาสหายขาดสูง ถ้าได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐาน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้รักษาเค้าเป็นคนให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะดีซะกว่า ไม่ควรไปเชื่อพวกมาเจรจาด้วยข้อมูลที่บิดเบี้ยวแบบนี้
ส่วนการเจรจาที่ถูกต้องน่าเชื่อถือนั้น หลังจากที่ทำการตรวจวินิจฉัยยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเป็นมะเร็งอวัยวะใด ระยะไหนแล้ว แพทย์ผู้รักษาจะให้ข้อมูลการรักษาที่ถูกต้องและครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ การปฏิบัติตัวและที่สำคัญที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยากรู้แต่ไม่อยากเจอคือ เรื่องผลข้างเคียงของการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงของการให้ยาเคมีบำบัด โดยผู้ป่วยมีโอกาสเจรจาซักถามข้อสงสัยต่างๆ อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงแพทย์อาจไม่มีเวลามาให้คำอธิบายได้ทั้งหมด เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งมีจำนวนมากและในบางกรณีแพทย์ผู้รักษาอาจไม่สามารถเจรจากับตัวผู้ป่วยได้โดยตรง เนื่องจากญาติผู้ป่วยอาจขอร้องให้แพทย์ไม่บอกผู้ป่วยว่าเป็นมะเร็ง เกรงว่าผู้ป่วยจะท้อแท้หมดกำลังใจ แต่ทางที่ดีควรให้ผู้ป่วยได้รับรู้ข้อมูลการเจ็บป่วยของตนเองเป็นดีที่สุด นอกจากการเจรจาระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยและญาติแล้ว ในผู้ป่วยบางรายที่การรักษามีความยุ่งยากซับซ้อนไม่ตรงไปตรงมา ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีศูนย์มะเร็งครบวงจรยังมีวงเจรจาของแพทย์หลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ต้องมาประชุมวิชาการปรึกษาหารือเรื่องการรักษาที่เหมาะสมที่สุดแก่ผู้ป่วยเฉพาะรายอีกด้วย
ไม่มีความขัดแย้งหรือสงครามระดับไหนที่จะไม่จบลงด้วยการเจรจา ถ้าทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยกัน ยอมถอยคนละก้าวเพื่อประเทศชาติ ที่ชอบยกเอามาอ้างกันว่ารักชาติเป็นหนักหนา ทางออกก็จะอยู่ไม่ไกลหรอกครับ แต่ถ้ายังไม่ยอมลดราวาศอก ต่างฝ่ายต่างรักษามะเร็งกันเองแบบนี้ ไม่ช้าผู้ป่วยหรือประเทศชาติคงไปไม่รอด สงสารประเทศไทยจริงๆ ครับ