เครดิต : คมชัดลึก 4 ต.ค. 2556
ปัญหาเดิมๆ ที่ผู้ป่วยมะเร็งและญาติมักคาใจสงสัยและซักถามกันอยู่เป็นประจำไม่เคยขาด หนีไม่พ้นคำถามยอดฮิตติดชาร์ต เรื่องสมุนไพรที่เขาว่าช่วยรักษาโรคมะเร็งนั่นมะเร็งนี่ บางตัวหนักไปกว่านั้น คุยโอ่ว่ารักษาได้หมดทุกมะเร็งทุกอวัยวะ อะไรมันจะเลอเลิศประเสริฐศรีขนาดนั้น มันจริงเท็จประการใด ยิ่งช่วงไหนฝ่ายการตลาดของบริษัทพวกนี้ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนัก ยิ่งเอาคนดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ยิ่งทำให้ผู้ป่วยและญาติสับสนเป็นการใหญ่
ประเด็นสำคัญที่ต้องขอย้ำกันก่อนอย่างอื่นเลยว่า สมุนไพรไทยที่มีอยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติขณะนี้ทั้งหมด 22 รายการ ล้วนนำมาใช้ในสรรพคุณด้านอื่นๆ ปัจจุบันยังไม่มีสมุนไพรตัวไหนได้ผ่านการรับรองให้ใช้รักษามะเร็งสักตัวเดียว แต่พวกนี้ใช้ลวดลายลีลาในการโฆษณา ที่เจอกันประจำก็แบบที่ขอขึ้นทะเบียนไว้ว่ามีสรรพคุณบำรุงน้ำเหลือง แต่เวลาโฆษณาชอบพ่วงท้ายคำว่า “รักษามะเร็ง” มั่วนิ่มต่อท้ายไปด้วยอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นอย่าได้หลวมตัวหลงเชื่อยาสมุนไพรที่โฆษณาเกินจริงว่าสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งเหล่านี้เป็นอันขาด
แต่หากผู้ป่วยโรคมะเร็งอยากจะใช้ยาสมุนไพรก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป็นการใช้ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐาน เพื่อบำรุงสุขภาพตามสรรพคุณของสมุนไพรนั้นๆ หรือใช้เพื่อลดผลข้างเคียงของการให้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีก็ไม่ได้ห้าม หรือจะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาฝรั่งยาสารเคมีแผนปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับในการลดผลข้างเคียงของการรักษาแผนปัจจุบัน เพราะมีผลงานวิจัยหลายงานยืนยันว่าได้ผลดีเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน แต่อย่าหลงผิดเข้าใจคลาดเคลื่อน หนีไปใช้ยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียวเพื่อหวังผลเรื่องเป็นยารักษาหลักในการทำลายเซลล์มะเร็ง หลีกหนีการรักษามาตรฐานที่มีผลงานวิจัยทั่วโลกรองรับ เช่น การผ่าตัด การฉายแสง การให้ยาเคมีบำบัด พวกผู้ป่วยที่หลงผิดกลุ่มนี้ ถ้ามะเร็งเป็นระยะที่ลุกลามไปมากแล้วก็ไม่น่าเสียดายเท่าไหร่ แต่พวกที่เพิ่งเริ่มเป็น หรือยังอยู่ในระยะที่มีโอกาสหายขาดแล้วหนีการรักษามาตรฐานไปรักษา โดยใช้แต่เฉพาะสารพัดสมุนไพรแล้ว นอกจากน่าเสียดายที่สูญเสียโอกาสครั้งสำคัญในการรักษาแล้ว ยังน่าสงสารและน่าเวทนามากเมื่อโรคลุกลามไปมากแล้วกลับมาหาแพทย์แผนปัจจุบัน แต่แพทย์ก็ทำได้เพียงแค่การรักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น
ในบ้านเราหลายหน่วยงานขณะนี้ก็มีการทำวิจัยเรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งอย่างเป็นระบบถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อให้เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกเค้ายอมรับ ซึ่งกว่าจะได้ยาออกมาใช้รักษาโรคกันสักตัวนั้นก็ต้องใช้เวลานาน 10-15 ปี ไม่ใช่ว่านักวิจัยไทยนิ่งดูดายไม่ทำวิจัยสมุนไพรกันอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน แต่ที่เห็นชัดว่าไม่ค่อยเข้มงวดกวดขัน ก็คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับควบคุมการโฆษณาเกินจริงของผลิตภัณฑ์สมุนไพรเหล่านี้ สมควรที่จะจับกุมมาลงโทษเป็นตัวอย่างให้หลาบจำ แบบที่จับยาบ้าจับคลินิกเถื่อนเสียบ้างก็ดีฝุดฝุดเลยล่ะครับ…ขอบอก