เครดิต : คมชัดลึก 8 ม.ค. 2559
เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจในโซเชียลเน็ตเวิร์กเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อนักข่าวหนุ่มวัยเพียง 30 ปีมาทราบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งตับมากแล้ว ทั้งที่พึ่งเริ่มมีอาการไม่นาน ทำเอาผู้คนที่ทราบข่าวพากันให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม
นอกจากเรื่องการรักษาที่ผู้คนพยายามแนะนำและให้กำลังใจกันมากมายแล้ว ยังมีอีกหลายแง่มุมที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ ประเด็นแรก หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมอายุก็ยังไม่มาก เป็นมะเร็งตับได้ยังไง สาเหตุหลักในผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับที่อายุน้อยแบบในรายนี้ ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง โดยอาจได้รับเชื้อมาตั้งแต่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคนี้อยู่เดิม หรือได้รับเชื้อนี้ภายหลังจากการติดทางเลือดหรือทางเพศสัมพันธ์ มีทั้งแบบที่เป็นพาหะไม่มีอาการอะไรกับแบบแอ็กทีฟที่มีอาการอ่อนเพลียจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายมากกว่า ถ้าเป็นชนิดที่เซลล์ตับถูกทำลายมาก ก็มีโอกาสที่จะเกิดพังผืดในเนื้อตับกลายเป็นตับแข็งหรือเป็นมะเร็งตับได้เร็วมากขึ้น ยิ่งถ้าได้รับสารก่อมะเร็งตับที่มีอยู่มากมายในบ้านเรา เช่น สารอะฟลาทอกซิน สารพัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ยิ่งเร่งให้เป็นมะเร็งเซลล์ตับชนิดนี้ได้เร็วขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นใครที่ร้อยวันพันปียังไม่เคยตรวจเลือดว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและชนิดซีหรือไม่ มีภูมิต้านทานไวรัสที่ว่านี้แล้วหรือยัง โดยเฉพาะคนที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องป่วยเป็นมะเร็งตับมาก่อน มีโอกาสเป็นพาหะของโรคนี้และมีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์ตับมากกว่าคนทั่วไป ก็มาเจาะเลือดตรวจให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียทีตั้งแต่ต้นปีแบบนี้
ประเด็นที่ 2 คือเป็นมากขนาดที่ผ่าตัดไม่ได้แล้วแบบนี้ ทำไมไม่มีอาการแสดงหรือเตือนให้ทราบล่วงหน้ากันบ้างเลยหรือ จริงๆ แล้วก็อาจมีอาการทั่วไปทางช่องท้องนำมาก่อน เช่น แน่นท้อง ท้องอืด แต่ผู้ป่วยอาจไม่สนใจ แต่อาการเฉพาะของมะเร็งเซลล์ตับคือ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงมาก ส่วนใหญ่จะแสดงอาการออกมาก็ตอนที่มะเร็งลุกลามไปเกินกว่าครึ่งของเนื้อตับทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว เป็นเพราะตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีพลังงานสำรองมาก พอเป็นก้อนมะเร็งขนาดเล็กๆ จึงแทบไม่แสดงอาการอะไร เพราะยังมีเนื้อตับปกติทำงานได้อยู่อีกมาก เพราะฉะนั้นไม่มีทางหามะเร็งตับในระยะที่เป็นน้อยๆ ได้เลย ถ้าไม่มาตรวจค้นหามะเร็งตั้งแต่ที่ยังไม่แสดงอาการ
ประเด็นสุดท้าย พอเป็นมากแบบนี้ แนวทางการรักษามาตรฐานที่ยังพอมีหวังก็คือ การใส่สายสวนเข้าหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ ย้อนขึ้นไปในหลอดเลือดแดงของตับ เพื่อไปฉีดยาเคมีบำบัดเฉพาะที่ตับแล้วตามด้วยการอุดหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งถ้าได้ผลก็ต้องทำแบบนี้เป็นระยะๆ ให้ก้อนมะเร็งยุบลง เพื่อยืดชีวิตให้นานที่สุด เพราะฉะนั้น มะเร็งตับไม่ต้องรอให้มีอาการ ตรวจก่อน เจอก่อน ผ่าก่อน หายขาดก่อนนะครับ…ขอบอก