รู้ทันมะเร็ง : มีสติก่อนวิ่งหาการรักษามะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ
เครดิต : คมชัดลึก 30 ม.ค. 2558
เป็นเรื่องน่าเห็นใจทุกครั้งเมื่อใครก็ตามได้ทราบข่าวว่าคนที่ตัวเองรู้จักป่วยเป็นมะเร็ง และก็มีเพื่อนสนิทมิตรสหายจำนวนไม่น้อยเช่นกันเป็นห่วงเป็นใยแนะนำแพทย์ที่จะให้การรักษา รวมไปถึงแนะนำวิธีการรักษารูปแบบต่างๆ ด้วยความหวังดี ยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารแบบนี้ การเข้าถึงความรู้ต่างๆ ด้านสุขภาพทำได้ง่ายขึ้น บวกกับมีการรักษาทางเลือกใหม่ๆ มากมายเต็มไปหมด ทำเอาสับสนกันไปตามๆ กันทั้งตัวผู้ป่วยและคนรอบข้าง
มาว่ากันที่วิธีการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นการรักษามาตรฐานแผนปัจจุบันก็มี 3 วิธีหลักคือ การผ่าตัด การฉายแสง และการให้ยาเคมีบำบัด ส่วนการจะเลือกวิธีการไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยหลักคือตัวคนไข้เองและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวโรคมะเร็ง ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวคนไข้เองก็เช่น อายุ ความสมบูรณ์แข็งแรง โรคประจำตัวต่างๆ เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวโรคมะเร็งก็เช่น อวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของโรค ซึ่งปัจจัยหลักทั้งสองเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้รายนั้นๆ เพราะฉะนั้นคนไข้ที่เป็นมะเร็งชนิดเดียวกัน จึงไม่ได้รักษาด้วยวิธีการเดียวกันเสมอไป นั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่ผู้ป่วยต้องเข้าใจหลักในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองจากแพทย์ผู้ให้การรักษา
นอกนั้นก็ยังมีการรักษาแผนปัจจุบันรูปแบบอื่นๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อย ว่ากันไปตามมะเร็งของแต่ละอวัยวะๆ ไป เช่น การใช้ความร้อนซึ่งมาจากแหล่งผลิตความร้อนที่ต่างกัน เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ เลเซอร์ การใช้ความเย็นรักษาโรคมะเร็ง การใช้สารกัมมันตภาพรังสีในมะเร็งไทรอยด์ และอีกมากมายสารพัดวิธี แต่ประเด็นสำคัญที่ผู้ป่วยและญาติต้องรู้และต้องถามแพทย์ผู้รักษาเสมอก็คือ การรักษาวิธีนั้นเป็นการรักษามาตรฐานสำหรับมะเร็งชนิดนั้นแล้วหรือไม่ หรือยังเป็นเพียงแค่การรักษาในรูปแบบงานวิจัย ยังไม่มีผลชัดเจนว่าจะได้ผลดีหรือไม่ เพราะปัจจุบันมีผู้ป่วยไปหลงเชื่อโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และในเวปไซต์ต่างๆ จากโรงพยาบาลรักษามะเร็งในประเทศจีน ว่ามีการใชัความเย็น การใช้สารกัมมันตภาพรังสีรักษามะเร็งได้ ซึ่งแท้จริงแล้วโรงพยาบาลในบ้านเราจำนวนมากก็มีเทคโนโลยีการรักษาที่ว่านี้มานานแล้ว ไม่ได้เป็นของใหม่อะไร แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ คนป่วยมะเร็งไทยที่มีสตางค์หลายคนที่บินกลับมา กลับพบว่ามีสารกัมมันตภาพรังสีตกค้างในร่างกายในปริมาณที่สูงมาก ที่สำคัญโรคมะเร็งที่เป็นนั้นยังไม่มีโรงพยาบาลไหนเค้าใช้สารกัมมันตภาพรังสีขนาดสูงแบบนี้ในการรักษา และผลข้างเคียงของการใช้สารกัมมันตภาพรังสีขนาดสูงแบบนั้น นอกจากมีผลต่อตัวผู้ป่วยโดยตรง ที่กดไขกระดูกตัวผู้ป่วย ทำให้โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมากขึ้นแล้ว ยังแผ่รังสีไปยังคนรอบข้าง ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วต้องมีการแยกผู้ป่วยไปอยู่ในห้องแยก มีการวัดการแผ่รังสีเป็นระยะ รอจนระดับรังสีเป็นปกติ จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่นี่ฉีดเสร็จให้เดินทางขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยเลย ระหว่างทางก็เลยแผ่รังสีไปยังคนรอบข้าง นอกจากค่าใช้จ่ายจะสูงและผลการรักษาก็ไม่ได้เรื่องได้ราวแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือนอกจากผู้ป่วยจะเสียโอกาสในการรักษาให้หายขาดแล้ว ยังทำบาปทำกรรมด้วยการแผ่รังสีไปให้คนรอบข้างเค้ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งอวัยวะอื่นๆ มากเข้าไปอีก
นี่ยังไม่นับรวมการรักษาทางเลือกอีกมากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว ยังไงก็ใช้ทั้งวิจารณญาณ ปัญญาและมีสติในการพิจารณาวิธีการรักษาแบบใหม่ๆ ด้วยนะครับ…เชื่อผมสิ