เครดิต : คมชัดลึก 13 พ.ค. 2559
เป็นเรื่องน่าเศร้าใจประจำเทศกาลหมอกควันไฟใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน แต่ปีนี้หนักกว่าทุกปีตรงที่มีอภิมหาภัยแล้งมาร่วมสังฆกรรมด้วย ทั้งไฟจากคนเผา ไฟป่าตามธรรมชาติ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำเอาร้อนตับแตกกันทั่วประเทศ พายุลูกเห็บพายุฤดูร้อนที่ไม่ค่อยจะเกิดในบ้านเรา ก็เกิดบ่อยขึ้น ยิ่งนับวันปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ ต่อเนื่องมาเป็นสิบปีแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เช่น ทำฝายกักเก็บน้ำ ขุดบ่อเก็บน้ำทุกหมู่บ้าน ปลูกป่ากันเป็นเรื่องเป็นราว ลงโทษคนตัดไม้เผาป่าด้วยโทษขั้นสูงสุด เราคงได้เห็นทะเลทรายในบ้านเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเป็นแน่แท้
วกกลับมาเรื่องควันไฟที่เป็นปัญหาเรื้อรังในภูมิภาค มีทั้งก๊าซพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เริ่มจากก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จริงๆ แล้วยังมีมากมายอีกหลายตัวที่ตามมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ที่สำคัญที่เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ก็คือ สารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช ที่หากได้รับสารพิษนี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นสาเหตุของมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนั้นยังมีฝุ่นละอองที่มีผลแบบเฉียบพลัน ทำให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจ ดวงตา ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ หอบหืด แสบจมูก แสบหู แสบตา ผิวหนังอักเสบ นอกจากนั้นพวกโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น ไอเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบยังตามมาถามหาอย่างต่อเนื่อง ชาวเหนือที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ลำบากก็ตาม เพราะทุกคนต้องหายใจกันทั้งนั้น ถึงแม้จะใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นแล้วก็ตาม ก็ป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วไม่ค่อยจะอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ใส่อะไรป้องกันเลย
ปัญหาเรื่องควันไฟตอนนี้ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งหน่วยงานของรัฐคือ สำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ ที่มีเว็บไซต์คอยติดตามรายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศประเทศไทยทุกวันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้มีการรวมตัวของคนในพื้นที่ ออกมาช่วยกันรณรงค์แสดงพลังของประชาชนกันมากขึ้น เป็นการรวมพลคนเหนือไม่เอาหมอกควัน ที่ทำให้เกิดความตระหนักรู้โทษภัยของควันไฟ ไม่ใช่รู้แล้วแต่นิ่งดูดาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเท่านั้น นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชุมชนอื่นๆ ในการแก้ปัญหาโดยประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงครับ