เครดิต : คมชัดลึก 24 ก.ค. 2558
ที่จั่วหัวว่า นับถอยหลังมะเร็งปากมดลูก ก็เพราะอยากจะบอกข่าวดีว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คงหาคนป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ยากลงเรื่อยๆ เพราะผลจากการทำทะเบียนมะเร็งทั่วประเทศล่าสุดพบว่า ลดลงกว่า 3 ปีก่อนอย่างชัดเจน จากที่เคยพบผู้ป่วย 16.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในปี 2551 ลดลงเหลือ 14.5 คนต่อประชากร 100,000 คนในปี 2554 นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสริมอีกหลายประการที่เกื้อหนุนให้เห็นโอกาสในการเอาชนะโรคนี้อยู่ตรงหน้า
ประการแรก เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ เป็นเพราะปัจจุบันทราบสาเหตุหลักของการเกิดโรคชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือไวรัสหูด เมื่อรู้สาเหตุที่แน่ชัดก็ทำให้สามารถหาทางควบคุมโรคได้อย่างมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่นๆ เช่น การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย การสูบบุหรี่ การกินยาคุมกำเนิดนานกว่า 5 ปี การมีบุตรมากกว่า 3 คน เพราะฉะนั้นการป้องกันไม่ไห้เกิดการติดเชื้อ ด้วยการให้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีในเด็กสาวก่อนมีเพศสัมพันธ์ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ล่าสุดมีข่าวดีว่าจะมีโครงการให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรี แก่เด็กนักเรียนหญิงอายุ 10-12 ปีในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ยิ่งถ้าสามารถให้ฟรีแก่เด็กทั่วประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะส่งผลดีขนาดไหน ขณะนี้เหลือแต่การต่อรองราคาวัคซีนให้ถูกลงๆ กว่าที่ขายอยู่ ถ้าได้ราคาไม่แพงเกินไป เร็วๆ นี้ประเทศเราอาจมีโครงการให้วัคซีนฟรีแบบในต่างประเทศก็เป็นได้
ประการที่สอง เป็นมะเร็งที่สามารถตรวจคัดกรองค้นหามะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ง่าย เนื่องจากตำแหน่งอวัยวะคือปากมดลูก สามารถเข้าถึงและทำการตรวจได้ง่ายไม่ยุ่งยากเหมือนอีกหลายอวัยวะภายในร่างกาย อีกทั้งระยะก่อนที่เซลล์ปกติจะเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งปากมดลูกนั้น ใช้ระยะเวลานานคือ 5-15 ปี ทำให้มีช่วงเวลานานในการตรวจคัดกรองโรค นอกจากนั้น ยังสามารถตรวจคัดกรองในระดับประชากรได้อย่างมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข พูดง่ายๆ ว่าใช้ทุนน้อยแต่ประโยชน์ที่ได้รับมากกว่า จนเกิดโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 76 จังหวัดขึ้นในบ้านเรามาตั้งแต่ปี 2548 ผลการประเมินโครงการที่ดำเนินการมาครบ 10 ปีพบว่า ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญคือ ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ยังมีความอายไม่ยอมมาตรวจ แม้ว่าจะไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ที่ยอมมาตรวจก็ต้องโน้มน้าวเคี่ยวเข็ญกันจนเหนื่อย ในขณะที่คนที่ห่วงใยสุขภาพก็มาตรวจซ้ำกันบ่อยเกินไป ทั้งๆ ที่สามารถเว้นระยะการตรวจได้ 5 ปีถ้าผลการตรวจปกติ
เลิกอายแล้วมาตรวจดีกว่าครับ ไม่ได้ไปทำเรื่องอะไรเสื่อมเสีย แต่เราทำสิ่งที่ถูกที่ควรทำกับสุขภาพแบบนี้ ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลยครับ…เชื่อผมสิ