กรมการแพทย์ชี้ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” พบบ่อยในคนไทย

แนะหมั่นสังเกตตนเองหากคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็น 1 ใน 10 ของมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย พบมากเป็นอันดับ 5 ในเพศชาย และอันดับ 9 ในเพศหญิง แต่ละปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 4,300 ราย และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,300 ราย  หรือคิดเป็น 4 คนต่อวัน มะเร็งชนิดนี้พบได้ในทุกกลุ่มวัยและจะมีอุบัติการณ์สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดเป็นโรคมะเร็งของระบบโลหิตวิทยา หรือระบบโรคเลือด มักเกิดกับเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองที่กระจายอยู่ทั่วร่างกาย เช่น บริเวณลำคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขน ข้อพับขา ในช่องอก และในช่องท้อง เป็นต้น สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากข้อมูลพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ การสัมผัสสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช รวมไปถึงการมีภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น อาการในระยะแรกมักพบต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น ซึ่งจะคลำพบได้ง่ายในบริเวณที่อยู่ตื้น คลำได้ และอาจไม่รู้สึกเจ็บ เช่น บริเวณข้างลำคอ รักแร้ เต้านม หรือขาหนีบ…

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เตือนคนไทยเสี่ยงเป็นมะเร็งช่องปาก

มะเร็งช่องปาก เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งในช่องปาก เช่น ลิ้น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก เหงือก เพดานปาก พื้นใต้ลิ้น และต่อมทอนซิล หลายคนอาจละเลยและคิดว่าเป็นแผลเล็กน้อยในช่องปากน่าจะหายได้เอง ทำให้ไม่ได้สังเกตสัญญาณของมะเร็งในช่องปาก ข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ รายงานจำนวนผู้ป่วยมะเร็งช่องปากรายใหม่ 4214 คน/ปี โดยพบในเพศชายมากว่าเพศหญิงและมักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุสำคัญของมะเร็งช่องปากมาจากพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า การเคี้ยวหมาก การติดเชื้อไวรัส Human papilloma virus (HPV) หรือการมีแผลเรื้อรังในช่องปาก อาการส่วนใหญ่ของมะเร็งในช่องปากพบได้หลายลักษณะ เช่น การมีฝ้าขาวๆ ที่บริเวณใต้ลิ้น เหงือก พื้นช่องปาก เมื่อเป็นนาน ๆ รอยฝ้านั้นจะนูนขึ้นเป็นก้อน หรือกรณีเกิดแผลจะมีลักษณะคล้ายอาการร้อนใน แต่จะมีอาการมากกว่า 1 เดือน มะเร็งของลิ้นหรือลำคอในบางตำแหน่งอาจทำให้เกิดการเจ็บในหูขณะกลืนอาหารได้เพราะมีเส้นประสาทร่วมกัน หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษา มะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ หรือสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยเริ่มต้นง่าย ๆ จากการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวข้างต้น หมั่นดูแลใส่ใจสุขอนามัยช่องปากและฟันของตนเองเป็นประจำทุกวัน จัดตารางสุขภาพให้ตนเอง พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ทุก ๆ 6…

“มะเร็งกระเพาะอาหาร” ภัยเงียบใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่ก็พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori  การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การรับประทานอาหารหมักดอง รวมทั้งอาการอักเสบหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง ทั้งนี้ มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 6 ของมะเร็งที่พบทั้งหมดทั่วโลก สำหรับประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารรายใหม่ปีละ 2,853 คน โดยพบจำนวนผู้ป่วยเพศชายติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ป่วยมะเร็งเพศชายทั้งประเทศ ส่วนเพศหญิงแม้จะไม่ติด 10 อันดับแรก แต่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารมากเช่นกัน การป้องกันโรคสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย ตลอดจนเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารหากมีอาการปวดท้องเรื้อรังจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้ โดยระยะเริ่มแรกอาจไม่มีอาการแสดงออกชัดเจน และอาจมีอาการคล้ายโรคอื่นๆ เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ อาการท้องอืดจุกแน่นท้องหลังรับประทานอาหาร กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ในผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามอาจอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ำ หรืออาจมีเลือดปนในอุจจาระ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หากพบอาหารผิดปกติเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ ในด้านการวินิจฉัยโรคทำได้ด้วยการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีการตรวจเพิ่มเติมด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อประเมินการแพร่กระจายของโรคไปยังอวัยวะอื่น ๆ อีกด้วย  

ข่าวปลอม อย่าแชร์! หัวข้าวเย็นใต้ ผสมส้มโมง และน้ำผึ้ง รักษาโรคมะเร็ง

ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆ ถึงประเด็นเรื่อง หัวข้าวเย็นใต้ ผสมส้มโมง และน้ำผึ้ง รักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากมีการเผยแพร่ข้อมูลสมุนไพรหัวข้าวเย็นใต้ ผสมส้มโมง และน้ำผึ้ง นำมาต้มจนแห้งแล้วปั้นเป็นเม็ด รับประทานเพื่อรักษาโรคมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า สมุนไพรดังกล่าวไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ เนื่องจากยังไม่มีการวิจัยทางคลินิกที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ โดยจากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสมุนไพรดังกล่าวนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น สารกลุ่มฟีนอลิกส์ ซึ่งอาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามสมุนไพรหัวข้าวเย็นใต้ ส้มโมง และน้ำผึ้งนั้น ไม่สามารถนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งได้ ทั้งนี้ควรศึกษารายละเอียดของสมุนไพร การนำมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และนำมาใช้อย่างถูกวิธี โดยหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้สมุนไพร การรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโรคควรปรึกษา และขอคำแนะนำจากแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : สมุนไพรหัวข้าวเย็นใต้ ส้มโมง และน้ำผึ้ง ไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ เนื่องจากยังไม่มีการวิจัยทางคลินิกที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ หน่วยงานที่ตรวจสอบ :  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข…