ข่าวปลอม อย่าแชร์! สมุนไพรจมูกปลาหลด ใช้รักษาโรคมะเร็ง

ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ ในประเด็นเรื่อง สมุนไพรจมูกปลาหลด ใช้รักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีคลิปวิดีโอที่ได้มีการพูดถึงสรรพคุณของสมุนไพรจมูกปลาหลด ว่าสามารถนำมาต้มดื่ม เพื่อรักษาโรคมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลวิชาการแล้ว พบว่าจมูกปลาหลดไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ แม้ว่าจะมีการพบงานวิจัย แต่งานวิจัยที่พบเป็นเพียงการศึกษาคุณสมบัติการต้านการอักเสบในสัตว์ทดลอง ซึ่งยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่าจมูกปลาหลดสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ โดยจมูกปลาหลด เป็นไม้เถาขึ้นได้เองตามธรรมชาติในที่รกร้าง และบริเวณที่มีน้ำขังทั่วไป ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกใช้รับประทานเป็นผักสดได้ ซึ่งการนำพืชสมุนไพรมาใช้เพื่อหวังผลทางการรักษา โดยไม่ทราบรายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษาที่เหมาะสม หากผู้ป่วยมะเร็งต้องการใช้ยาสมุนไพรเสริมการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จมูกปลาหลดไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งงานวิจัยที่พบเป็นเพียงการศึกษาคุณสมบัติการต้านการอักเสบในสัตว์ทดลอง จึงยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปว่าจมูกปลาหลดสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  

ข่าวปลอม อย่าแชร์! มะเร็งรักษาหายได้ ด้วยต้นกาฝากทับทิม

ตามที่มีการส่งต่อในสื่อต่าง ๆ ถึงประเด็นเรื่องมะเร็งรักษาหายได้ ด้วยต้นกาฝากทับทิม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากประเด็นแนะนำสูตรวิธีรักษามะเร็งด้วยต้นกาฝากทับทิม ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลวิชาการและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าต้นกาฝากทับทิมรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ต้นกาฝาก เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มักเกิดจากนกกาฝากกินผลกาฝากเข้าไป เมื่อนกถ่ายออกมาเมล็ดกาฝากจึงอาจติดอยู่ตามลำต้นและกิ่งก้านบนต้นไม้ชนิดอื่น ๆ ที่นกไปเกาะหรือทำรังอยู่ทำให้ต้นกาฝากเจริญเติบโตขึ้น ส่วนใหญ่จึงนิยมเรียกชื่อตามชนิดของต้นไม้ที่ต้นกาฝากเจริญเติบโตอยู่ เช่น ต้นกาฝากแก่นเทา กาฝากมะม่วง กาฝากก่อ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ต้นไม้ชนิดเดียวกันอาจจะพบต้นกาฝากคนละชนิดหรือคนละสายพันธุ์ได้ จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าต้นกากฝากที่นิยมใช้เป็นยาสมุนไพร ได้แก่ ต้นกาฝากแก่นเทา (Scurrula atropurpurea) กาฝากมะม่วง (Dendrophthoe pentandra) และกาฝากก่อ (Helixanthera parasitica) แต่ยังไม่พบรายงานที่กล่าวถึงต้นกาฝากทับทิม ตัวอย่างของต้นกาฝากที่มีผลการวิจัย คือ ต้นกาฝากก่อ (Helixanthera parasitica) พบสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น เอทิลแกลเลท กรดแกลลิก เควอซิทิน เป็นต้น โดยมีการนำสารสกัดจากใบกาฝากมาใช้ทดสอบฤทธ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามเป็นเพียงงานวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ไม่มีผลการรักษาในมนุษย์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินอาหารค้างคืนที่อุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง

ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆ ถึงประเด็นเรื่อง กินอาหารค้างคืนที่อุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีข้อความเตือนภัยว่า การรับประทานอาหารค้างคืน ที่ถูกนำมาอุ่นซ้ำ ๆ จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า การรับประทานอาหารค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง แต่อันตรายอาจเกิดจากการเก็บรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น เก็บในตู้เย็นที่มีความเย็นไม่เพียงพอทำให้มีเชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโตจนสร้างสารพิษขึ้นมา เมื่อทานอาหารเหล่านั้นเข้าไปก็จะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้อาหารที่ทำทิ้งไว้นาน และมีการอุ่นซ้ำซากอาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลง รวมถึงมีรสชาติเปลี่ยนไป โดยการรับประทานอาหารที่ค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำควรคำนึงถึงอุณหภูมิของการเก็บรักษา และการอุ่นด้วยความร้อนอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานอาหารที่สดใหม่ ไม่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การรับประทานอาหารค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง โดยการรับประทานอาหารที่ค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำควรคำนึงถึงอุณหภูมิของการเก็บรักษา และการอุ่นด้วยความร้อนอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ หน่วยงานที่ตรวจสอบ :  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทำให้เป็นโรคมะเร็ง

ตามที่มีการโพสต์ข้อความในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการเผยแพร่ในสื่อเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เข้มข้นสูง ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่สามารถป้องกันฟันผุ ช่วยยับยั้งการสร้างกรดของแบคทีเรียและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียในช่องปากได้ ซึ่งฟลูออไรด์ถูกนำมาใช้ผสมในยาสีฟันโดยทั่วไปความเข้มข้นประมาณ 1,000 ส่วนในล้านส่วน (ppm) จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ และอันตรายจากฟลูออไรด์อาจเกิดจากการกลืนยาสีฟันฟลูออไรด์หรือน้ำยาบ้วนปากที่มีปริมาณฟลูออไรด์เกินขนาดในครั้งเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น อย่างไรก็ตามในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลงานวิจัยในปัจจุบัน พบว่า การได้รับฟลูออไรด์ในรูปแบบและขนาดที่เหมาะสมไม่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง  อย่างไรก็ตาม สามารถใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ได้ในเด็กตั้งแต่วัยที่เริ่มมีฟันน้ำนม โดยปริมาณของยาสีฟันที่ใช้จะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้เราจำเป็นต้องทำความสะอาดฟันโดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี รวมถึงไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน งนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่สามารถป้องกันฟันผุ ช่วยยับยั้งการสร้างกรดของแบคทีเรียและยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียในช่องปากได้ จึงไม่ใช่สาเหตุของการทำให้เป็นโรคมะเร็ง

ข่าวปลอม อย่าแชร์! นมวัวมีสารไดออกซิน ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

ตามที่มีการเผยแพร่คลิปในโลกออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องนมวัวมีสารไดออกซิน ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการโพสต์คลิปโดยระบุว่า นมวัว โรคภูมิแพ้ สารก่อมะเร็ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และชี้แจงว่า ไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ โดยอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมที่อาจเป็นแหล่งกำเนิดไดออกซิน เช่น เตาเผาขยะอันตราย/ขยะติดเชื้อ เตาเผาขยะชุมชน รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีการใช้สารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เป็นต้น ฉะนั้นสารไดออกซินสามารถปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านห่วงโซ่อาหาร ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการควบคุมการปนเปื้อนของสารไดออกซินในสิ่งแวดล้อมโดยออกประกาศให้เตาเผามูลฝอยเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่ต้องควบคุมการปล่อยอากาศเสียออกสู่บรรยากาศ ตลอดจนมีการกำหนดมาตรฐานควบคุมปริมาณการปล่อยทิ้งอากาศเสียอย่างเข้มงวด  สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนมวัวมีสารไดออกซินปนเปื้อนนั้น จากการสืบค้นข้อมูลรายงานวิจัยในประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลรายงานการปนเปื้อนสารไดออกซินในนมวัวและส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ นอกจากนี้การผลิตภัณฑ์นมวัวจากกระบวนผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร และได้มีการขออนุญาตผลิตอย่างถูกต้องแล้วจาก อย. ซึ่งจะได้รับการตรวจสอบคุณภาพทั้งในด้านกายภาพ เคมีและทางด้านจุลชีวิทยาให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนดโดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ดังนั้นนมวัวยังคงเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมวัว เช่น เลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย.สังเกตวันผลิตหรือหมดอายุ ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิต รวมถึงบรรจุภัณฑ์ต้องมีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยรั่วหรือฉีกขาด ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อมาบริโภค หากเป็นผู้ที่แพ้นมวัวสามารถเลือกดื่มนมจากพืชได้ และยังสามารถรับประทานโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ เช่น โปรตีนจากไข่ และปลา เป็นต้น…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! รากสามสิบดองเหล้ากับน้ำผึ้ง ช่วยรักษามะเร็งเต้านม

ตามที่มีการแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพเรื่อง รากสามสิบดองเหล้ากับน้ำผึ้ง ช่วยรักษามะเร็งเต้านม ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ในกรณีเผยแพร่ข้อมูลรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยการดื่มน้ำรากสามสิบดองเหล้ากับน้ำผึ้ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสมุนไพรรากสามสิบสามารถรักษามะเร็งเต้านมได้ โดยรากสามสิบเป็นพืชในวงศ์เดียวกับหน่อไม้ฝรั่ง ส่วนของรากมีสารสำคัญ คือ สเตียรอยด์ซาโปนิน ซึ่งเป็นสารไฟโตเอสโตรเจน มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของมนุษย์ จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านบำรุงผิวพรรณ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ บรรเทาอาการปวดประจำเดือน หรือใช้ทดแทนฮอร์โมนในสตรีวัยทอง อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสมุนไพรรากสามสิบสามารถรักษามะเร็งเต้านมได้ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำว่า ผู้ที่เป็นหรือมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สมุนไพรรากสามสิบ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจากสมุนไพรดังกล่าวอาจส่งต่อระดับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ไม่ควรรับประทานสมุนไพรรากสามสิบติดต่อกันเป็นเวลานาน และไม่ควรใช้ร่วมกับยาคุมกำเนิดเนื่องจากมีฤทธิ์เสริมกัน ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสมุนไพรรากสามสิบสามารถรักษามะเร็งเต้านมได้ ทั้งยังมีคำแนะนำว่า ผู้ที่เป็นหรือมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้สมุนไพรรากสามสิบ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจากสมุนไพรดังกล่าวอาจส่งต่อระดับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! สมุนไพรพะยูง มีสรรพคุณเป็นยาแก้มะเร็ง

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ ในประเด็นเรื่อง สมุนไพรพะยูง มีสรรพคุณเป็นยาแก้มะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการเผยแพร่ข้อมูลชวนเชื่อถึงสมุนไพรพะยูง ว่ามีสรรพคุณเป็นยาแก้มะเร็งได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สืบค้นข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าพะยูงรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ เนื่องจากพะยูง ชื่อวิทยาศาสตร์ Dalbergia cochinchinensis Pierre. จากการสืบค้นข้อมูลพบว่ามีการนำเปลือกต้นหรือแก่น และรากของพะยูงในการแก้พิษไข้ แก้เบาหวาน แก้น้ำเหลืองเสีย แก้โรคปากเปื่อย เป็นต้น  ดังนั้นควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ชนิดของสมุนไพร ฤทธิ์ทางเภสัช และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าพะยูงรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ เนื่องจากพบว่าการนำเปลือกต้นหรือแก่น และรากของพะยูงใช้ในการแก้พิษไข้ แก้เบาหวาน แก้น้ำเหลืองเสีย แก้โรคปากเปื่อย เท่านั้น หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  

ข่าวบิดเบือน สารเบนซีนถูกปล่อยสู่ห้องโดยสารรถยนต์ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง

ตามที่ได้มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง สารเบนซีนถูกปล่อยสู่ห้องโดยสารรถยนต์ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าหากจอดรถตากแดด ก่อนเปิดแอร์บนรถต้องระบายความร้อนอย่างน้อย 2 -3 นาทีก่อน เพื่อลดการเกิดสารเบนซีน ต้นเหตุการเกิดโรคมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวมีบางส่วนที่ไม่เป็นจริง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสรุปได้แน่ชัดว่าความร้อนจากแสงแดดทำให้อุปกรณ์ในรถปล่อยสารเบนซีนออกมาสู่ห้องโดยสารรถยนต์ ในระดับที่ทำให้เป็นพิษต่อร่างกายจนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง แต่หากจำเป็นต้องจอดรถในที่อุณหภูมิสูง ควรลดกระจกลงเพื่อระบายความร้อนและให้อากาศภายในรถกระจายออกไปด้านนอก โดยเบนซีน จัดเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในกลุ่มอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์สำหรับเป็นตัวทำละลายในการผลิตทางอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมพลาสติก ยาฆ่าแมลง สีย้อมผ้า สี และหมึกพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งสารเบนซีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายจากหายใจ หากได้รับในปริมาณสูงจะทำให้เกิดอาการเฉียบพลัน เช่น เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ วิงเวียนศีรษะ และทำให้หมดสติ หรืออาจเสียชีวิตได้ หากได้รับสารเบนซีนเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดอาการเรื้อรัง เช่น มีภาวะโลหิตจาง เกิดภูมิแพ้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ประกาศค่ามาตรฐานเฝ้าระวังสำหรับเบนซีนในบรรยากาศโดยทั่วไปในเวลา 24 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 7.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) แต่ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดค่าที่ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสสารเบนซีนในระยะยาวทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นข้อมูลการวิจัยคุณภาพอากาศในห้องโดยสารรถยนต์พบสารเบนซีนในระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิและความกว้างของห้องโดยสาร รวมถึงอายุการใช้งานของรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ข้อมูลที่สามารถสรุปได้ว่าความร้อนจากแสงแดดทำให้อุปกรณ์ในรถปล่อยสารเบนซีนออกมาในระดับที่ทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ขัดผิวแบบแห้ง ช่วยถอนพิษผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ตามที่มีการเผยแพร่วิดีโอลงโซเชียลมีเดียซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง ขัดผิวแบบแห้ง ช่วยถอนพิษผู้ป่วยโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการบอกสรรพคุณของการขัดผิวแบบแห้งว่า เป็นเทคนิคที่สามารถถอนพิษสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สืบค้นข้อมูลทางวิชาการและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันว่าการขัดผิวแบบแห้งสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ทั้งนี้ การขัดผิวแบบแห้ง หรือ Dry Brush Exfoliation คือ การขัดผิวด้วยแปรงขัดผิวขณะที่ตัวยังแห้งก่อนอาบน้ำ เป็นการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกด้วยวิธีทางกายภาพ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขัดผิวเพื่อประโยชน์ทางด้านความสวยงาม ไม่ใช่เพื่อรักษาโรคแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษา เช่น ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ได้รับการฉายรังสี ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาก่อน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : จากการสืบค้นข้อมูลวิชาการ พบว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันว่าการขัดผิวแบบแห้งสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่

ตามที่มีการเผยแพร่เตือนประเด็นเรื่องริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีคำเตือนเรื่องสุขภาพที่ระบุเป็นริดสีดวงจะทำให้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงว่าโรคริดสีดวง ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งริดสีดวง เป็นโรคที่เกิดจากเส้นเลือดดำทวารหนัก หรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่มีการบวมพองยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ริดสีดวงภายใน เกิดบริเวณเนื้อเยื่อทวารหนักที่อยู่สูงกว่าระดับหูรูดทวารหนัก และริดสีดวงภายนอก เกิดบริเวณทวารหนักส่วนล่าง มีอาการนูนเป็นติ่งออกจากทวารหนัก โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่ การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานเนื้อแดงเนื้อแปรรูปเป็นประจำ อาหารกากใยน้อย อาหารปิ้งย่างรมควัน ตลอดจนขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น อาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ การถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือดหรืออาจถ่ายเป็นเลือดสดๆ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง/ถ่ายไม่สุด ขนาดของลำอุจจาระเล็กลง และมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ…