ข่าวปลอม อย่าแชร์! เล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตาหรือตาบอดถาวร

ตามที่มีการโพสต์ชวนเชื่อ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตาหรือตาบอดถาวร ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการโพสต์ชวนเชื่อเรื่อง เล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตาหรือตาบอดถาวร โดยระบุว่า “คนไข้คนนี้เล่นมือถือแบบไม่ยอมหยุดพักบ้างและชอบเล่นในห้องที่มืด จนเลือดนัยตาไหลซึมออกมา คุณหมอบอกว่าอาจจะเป็นมะเร็งตาเหรืออาจจะตาบอดถาวร” ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันว่าการเล่นโทรศัพท์มือถือในที่มืดเป็นเวลานานนั้นเสี่ยงหรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งตาแต่อย่างใด โดยผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือเล่นโทรศัพท์นานๆ จะมีการใช้สายตาเพ่งหน้าจอตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการตาล้า หรือตาแห้ง ตาแดงเนื่องจากมีการกระพริบตาที่น้อยลงอาจทำให้เกิดอาการเคืองตาได้ง่าย ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งตา ได้แก่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินในดวงตา หรือเกิดจากความผิดปกติของยีน เป็นต้น สำหรับคนไทยโรคมะเร็งตาในผู้ใหญ่พบได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม สามารถพบได้ในเด็กและมักมีอายุต่ำกว่า 5 ปี คือ โรคมะเร็งจอประสาทตา ซึ่งเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม แต่ก็เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยเช่นกัน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ  และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่ http://www.nci.go.th/th/index1.html หรือ โทร 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่จริง ไม่ควรแชร์ต่อ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข

โรคมะเร็ง รับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม

    โรคมะเร็ง รับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม หมายถึง ประชาชนสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้วสามารถเข้ารับริการยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแห่งใดก็ได้ที่มีความพร้อมในการให้บริการ

ข่าวปลอม อย่าแชร์! หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์  เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการแชร์ว่า “หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ ที่เกิดจากเส้นใยสังเคราะห์ ของโพลิเมอร์ ที่เป็น “Polypropylene ( PP )” ซึ่งมีกลิ่นฉุน แตกยุ่ยได้ง่าย จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติก หากสูดดมเข้าไปในร่างกาย มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง” ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลว่า หน้ากากอนามัยผลิตจากใยสังเคราะห์ประเภทเดียวกันกับผ้าสปันบอนด์ซึ่งทำมาจากพลาสติกกลุ่ม Polypropylene จากรายงานขององค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer; IARC) ระบุว่าพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ไม่จัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์หรืออยู่ในกลุ่ม 3 ดังนั้นปัจจุบันการใช้หน้ากากอนามัยที่ทำมาจากผ้าสปันบอนด์จึงยังไม่มีข้อมูลว่าทำให้เกิดโรคมะเร็ง พลาสติกกลุ่ม Polypropylene ที่นำมาใช้ผลิตผ้าสปันบอนด์ใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายเร็วกว่าพลาสติกทั่วไปทำให้เกิดความกังวลว่าพลาสติกชนิดนี้จะย่อยสลายเป็นไมโครพลาสติกแล้วปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีรายงานทางวิชาการที่ยืนยันแน่ชัดถึงไมโครพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมแล้วก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นตระหนกเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยจากใยสังเคราะห์สปันบอนด์ ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ดื่มน้ำปั่นใบไม้สด และผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน ช่วยรักษามะเร็ง

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง ดื่มน้ำปั่นใบไม้สด และผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน ช่วยรักษามะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวการดื่มน้ำปั่นใบไม้สด และผักสด ที่ได้แก่ ใบบัวบก ใบตำลึง ใบมะยม ใบมะกรูด ใบมะนาว ใบชะมวง ใบมันปู ใบโหระพา ใบกระเจี๊ยบแดง ใบเม่า ใบเตย ใบข่า ผลมะระขี้นก และมะเขือเทศราชินี ที่ไม่ผ่านความร้อนจะช่วยรักษามะเร็งนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่าพืชผักดังกล่าวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีส่วนในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง แต่ไม่สามารถรักษาโรคมะเร็ง อาหารในกลุ่มพืชผักสมุนไพรอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และอาจมีส่วนในการป้องกันมะเร็งได้ เช่น สารเบต้าแคโรทีน สารไลโคปีน สารฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบการป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งนั้น ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งยังไม่มีรายงานผลทางคลินิกเกี่ยวกับปริมาณรับประทานที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณา หรือตรวจสอบอาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ง่าย ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! บริโภคผักไฮโดรโปนิกส์ เสี่ยงเป็นมะเร็ง

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง บริโภคผักไฮโดรโปนิกส์ เสี่ยงเป็นมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีผู้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า คนที่กินผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นมะเร็งเต็มบ้านเต็มเมือง งานวิจัยเมื่อสามปีที่แล้ว โรงพยาบาลใหญ่ 5 แห่งใน กทม. วิจัยสาเหตุมะเร็งเพิ่มขึ้น 300% เกิดจากกินผักไฮโดรโปนิกส์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ออกมาชี้แจงว่า ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) เป็นการปลูกพืชโดยให้รากพืชสัมผัสกับสารละลายธาตุอาหารโดยตรง ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์หรืองานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการบริโภคผักไฮโดรโปนิกส์ทำให้เป็นโรคมะเร็ง ส่วนที่มีความกังวลว่าผักไฮโดรโปนิกส์จะสะสมสารไนเตรท ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อผู้บริโภคนั้น ในความเป็นจริงทั้งผักไฮโดรโปนิกส์ และผักที่ปลูกในดินล้วนมีสารไนเตรทตกค้างอยู่ อีกทั้งความเข้มข้นของสารไนเตรทในผักยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของพืช ความเข้มข้นของสารละลายธาตุอาหาร สภาพแวดล้อม และฤดูกาลในการปลูก ซึ่งพื้นที่เขตร้อนแสงแดดมากจะทำให้สารไนเตรทสลายตัวได้เร็วจึงยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับปริมาณไนเตรทที่ตรวจพบในผักไฮโดรโปนิกส์ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนสารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งในพืชผักนั้นเป็นไปได้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับสารไนเตรทจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป ดังนั้นเรายังคงสามารถบริโภคผักไฮโดรโปนิกส์ได้ แต่ควรล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธีก่อนรับประทานเสมอ ข้อมูลของข่าวดังกล่าวจึงอาจทำให้ประชาชนตื่นตระหนก และเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ…

WHO ฟันธง “เนื้อแดง-อาหารแปรรูป” เสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” จริงหรือ?

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง WHO ฟันธง “เนื้อแดง-อาหารแปรรูป” เสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่”   ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็น ข้อมูลจริง องค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ หรือ International Agency for Research on Cancer (IARC) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 คือ สามารถก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนเนื้อแดง เป็นกลุ่ม 2A คือ อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์ การบริโภคเนื้อแปรรูปที่มากขึ้นและเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้และไส้ตรง เนื้อแดง  เช่น เนื้อวัว หมู แกะ หมูป่า ม้า และแพะ เป็นต้น IARC รายงานว่าการกินเนื้อแดงมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้และไส้ตรง แม้ว่าเนื้อสัตว์แปรรูปจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งเดียวกันกับบุหรี่ แอลกอฮอล์ แร่ใยหิน สารหนู เป็นต้น แต่ไม่ได้มีอันตรายเท่ากับสารเหล่านี้ ดังนั้นสามารถรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปได้ แต่ให้จำกัดปริมาณการรับประทาน สำหรับเนื้อแดงมีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น โปรตีน สังกะสี…

ปีเตอร์ คอร์ป สุดเศร้า! สูญเสียน้องชาย ไมเคิล ด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

ปีเตอร์ คอร์ป สุดเศร้า! น้องชาย ไมเคิล จากไปอย่างสงบ หลังสู้สุดชีวิตกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นอีกหนึ่งเรื่องเศร้าที่ไม่มีใครอยากให้เกิด สำหรับการจากไปของคนที่รัก เมื่อนักแสดงหนุ่มหล่อ ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล เผยข่าวร้ายหลังจากที่ตนนั้นได้สูญเสียน้องชายสุดที่รัก ไมเคิล คอร์ป ไดเรนดัล ไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเมื่อวานนี้ 24 พ.ย. ปีเตอร์ ได้โพสต์ภาพน้องชายสุดที่รัก พร้อมแคปชั่นไว้ว่า… “สาส์นจากครอบครัว ไมเคิล ได้สิ้นสุดลมหายใจอย่างสงบแล้ว เมื่อเวลา 11.26 น. ที่อายุ 41 ปี 11 เดือน ไมเคิลได้ต่อสู้มากับโรคร้ายที่คร่าชีวิตของเขาภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน โดยไม่มีอาการบอกล่วงหน้า มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เขาพยายามสู้สุดชีวิตเมื่อทราบว่าตนเป็นโรคร้ายกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย เขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยความเศร้าโศกของครอบครัวและเพื่อน จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน Michael slept in peacefully has and passed away at the age…

อาลัย “กอล์ฟ ธนภัทร” นักแสดงหนังวาย ป่วยมะเร็งใต้ผิวหนังเสียชีวิต

อาลัย “กอล์ฟ ธนภัทร” นักแสดงนำในภาพยนตร์วาย “Timeline เพราะรักไม่สิ้นสุด” โดนถังไอติมกระแทกจนขาบวมช้ำ สุดท้ายตรวจพบเป็นมะเร็งใต้ผิวหนังระยะสุดท้าย ก่อนเสียชีวิต จากข่าวการเสียชีวิตของ นายธนภัทร พริ้งตระกูล หรือ กอล์ฟ นักแสดงนำในภาพยนตร์วาย “Timeline เพราะรักไม่สิ้นสุด” เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งใต้ผิวหนังระยะสุดท้าย สร้างความเสียใจให้กับครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่างมากนั้น วันที่ 4 ก.พ.63 ผู้สื่อข่าวรายว่า จากการสำรวจเฟซบุ๊กส่วนตัวของ “กอล์ฟ ธนภัทร” พบว่าเมื่อวันที่ 31 ต.ค.62 เจ้าตัวได้โพสต์ภาพขาข้างซ้ายมีรอยช้ำ ระบุข้อความว่า ขาบวม เยื่อหุ้มกล้ามเนื้ออักเสบ ถังไอติมกระแทกขาแล้วคิดว่ามันจะหายเอง สุดท้ายไม่ไปหาหมอช้ำหนักมาก ถึงกับต้องพักงาน เก็บเงินไว้นะครับ โชคดีที่ผมเป็นคนทำงานหนัก ยังพอมีกินใช้จ่ายเวลาช่วงที่พักงาน มันทำให้รู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนนะ ดูแลสุขภาพกันด้วย อย่าประมาท กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.62 กอล์ฟ ธนภัทร ได้เข้าเอกซเรย์และแอดมิทที่โรงพยาบาล โดยโพสต์ข้อความอีกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยต้องมานั่งวีลแชร์ มีคนคอยเข็นให้ นี่ร้องไห้น้ำตาไหล เดินได้ แต่ถ้ายิ่งเดินขายิ่งอักเสบยิ่งบวม ไม่มีไรแน่นอนจริงๆ ร้องไห้ตอนคนเข็นให้เลย อย่างไรก็ตามต่อมา หมอได้ตัดชิ้นเนื้อที่แผลและตัดต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบไปตรวจ…

สถาบันมะเร็งแห่งชาติย้ำยาเคมีบำบัด ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ “โรคมะเร็ง” มีอุบัติการณ์การเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2012 มีผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกกว่า 14.1 ล้านคน และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง ราว 8.2 ล้านคน สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง โดยในปี 2554 พบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งราว 112, 392 คน โรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งได้แก่ มะเร็งตับ รองลงมาเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก ตามลำดับยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์โดยไปทำลายเซลล์มะเร็งและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดสามารถช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรค หรือควบคุมโรคไม่ให้ก้อนมะเร็งโตขึ้นและไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตลอดจนบรรเทาอาการสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะแพร่กระจายการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอาจใช้ยาชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกันขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็งสำหรับวิธีการให้ยามีทั้งให้โดยการรับประทาน และการฉีด นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดที่พบบ่อยไม่ว่าจะเป็นอาการซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เกิดรอยฟกช้ำตามตัวได้ง่าย เลือดออกแล้วหยุดยาก ติดเชื้อได้ง่าย เกิดจากการที่ยาเคมีบำบัดทำลายเซลล์ในไขกระดูกคือเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปากเป็นแผล ท้องเสีย เกิดจากการที่ยาเคมีบำบัดทำลายเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนั้นอาจมีอาการผมร่วง ผิวคล้ำ เล็บคล้ำ เล็บเปราะ ชาตามปลายมือปลายเท้า ปวดกระดูก ปวดข้อ…