รู้ทันมะเร็ง : อ้วนก็เป็นมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  20 ก.พ. 2558           ตั้งแต่เปิดศักราชปีมะแมผ่านสารพัดงานเลี้ยงตั้งแต่ปีใหม่ วาเลนไทน์ และล่าสุดตรุษจีน หลายคนคงเริ่มกลุ้มใจกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและอีกมากมายหลายโรค แต่หลายคนคงคาดไม่ถึงว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง           จากการที่เซลล์ไขมันส่วนเกินมีการสร้างฮอร์โมนเพศที่มีชื่อว่าเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น ในสภาวะปกติฮอร์โมนตัวนี้พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง แต่ในเพศหญิงจะพบมากกว่า เพราะถูกสร้างจากรังไข่เป็นหลัก และถูกสร้างจากอวัยวะอื่นในปริมาณที่น้อยกว่า เช่น ตับ ต่อมหมวกไต เต้านมและเซลล์ไขมัน เจ้าฮอร์โมนตัวนี้องค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่มที่หนึ่ง คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ เมื่อในร่างกายคนอ้วนมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่าปกติ จึงมีการจับกับตัวรับฮอร์โมนในเซลล์มากขึ้น ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอในเซลล์ กลายเป็นเซลล์มะเร็งและกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวมากขึ้นในที่สุด           ดังนั้นภาวะอ้วนจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้า ส่วนการที่จะรู้ว่าตัวเราเข้าขั้นอ้วนแล้วหรือยัง ก็คำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย โดยการเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้งแล้วหารด้วยความสูงเป็นเมตร ได้เท่าไหร่ก็เอาความสูงเป็นเมตรหารซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าค่าที่ได้อยู่ในช่วง 18-25 แปลว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าเกินกว่า 25…

รู้ทันมะเร็ง : พิษ ในสารพิษ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  15 พ.ค. 2558           ยาฆ่าแมลงสารพิษที่แทบทุกบ้านต้องมีไว้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นพวกสเปรย์กำจัดยุง แมลงสาบ ปลวก มด มอด นอกจากมีผลเสียต่อสุขภาพคล้ายๆ กันคือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว นั่นคือทำให้เกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน           ในบรรดายาปราบศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลงที่มีมากมายหลายประเภทหลายกลุ่มนั้น กลุ่มที่มีรายงานว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งคือ กลุ่มของสารออร์กาโนฟอสเฟต อันได้แก่ มาลาไธออน พาราไธออน กูซาไธออน ซูมิไธออน เมวินฟอส ไดซีสตอน ไดอะซิโนน เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มยาปราบศัตรูพืชที่เกษตรกรชาวนาชาวสวนไทยเรานิยมใช้มากเป็นอันดับหนึ่ง งานวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศพบว่า การใช้และการสัมผัสยาฆ่าแมลงกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน มะเร็งสมอง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่น่าเป็นห่วงก็คือเด็กมีความเสี่ยงในการพบยาฆ่าแมลงตกค้างในร่างกายได้สูงกว่าผู้ใหญ่ ยืนยันจากการตรวจพบระดับสารออร์กาโนฟอสเฟตในปัสสาวะของเด็กสูงกว่าในผู้ใหญ่           ในส่วนของเกษตรกรผู้ใช้และสัมผัสยาปราบศัตรูพืชโดยตรงพบว่า…

รู้ทันมะเร็ง : กล่องโฟมก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  13 มี.ค. 2558           สัปดาห์ที่แล้วมีการแถลงข่าวภัยร้ายของกล่องโฟม หลายภาคส่วนเข้ามาร่วมแรงร่วมใจ นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่สังคมไทยจะลดละเลิกการใช้กล่องโฟมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในอนาคต ต้องขอชมเชยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขที่เป็นหัวเรือหลักในการรณรงค์ครั้งนี้ เพราะเจ้าภาชนะที่ทำจากโฟมไม่ว่าจะเป็นกล่องโฟมแก้วโฟม ล้วนเป็นภัยต่อสุขภาพระยะยาวทั้งสิ้น           กล่องโฟมที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั้นมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโพลีสไตรีน ทำมาจากสารตั้งต้นที่ชื่อสไตรีน เป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลอง โดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอและโครโมโซม แต่ในคนยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจน ปัจจุบันองค์การวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศจึงจัดเจ้าสารสไตรีนเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B คือมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เจ้าสารสไตรีนนี้มีคุณสมบัติละลายได้ดีในน้ำมันและแอลกอฮอล์ ดังนั้น หากนำจานชามโฟมไปใส่อาหารที่มีไขมันสูงหรือใช้ถ้วยโฟมเป็นภาชนะสำหรับดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ก็ยิ่งทำให้สารสไตรีนละลายออกมาในอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังละลายได้ดีขึ้นในอุณหภูมิสูงจากการที่เจ้าสารสไตรีนสามารถละลายในไขมัน เมื่อเข้าสู่ร่างกายและมีการสะสมของสารนี้ทีละน้อยเป็นเวลานานๆ จึงมักจะไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อที่มีไขมันสูง เช่น สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย วิตกกังวล นอนไม่หลับ และอาการอื่นๆ ทางระบบประสาท นอกจากนั้นยังมีอันตรายต่อระบบโลหิตคือทำให้เกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดต่ำลง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าข้อมูลปัจจุบันยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นสารก่อมะเร็งในคนก็ตาม แต่ในอนาคตอาจมีผลการศึกษาที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ที่แน่ๆ เวลานี้ก็คือมีผลเสียต่อสุขภาพหลายระบบดังที่กล่าวแล้ว  …

รู้ทันมะเร็ง : หมอกควันก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  20 มี.ค. 2558           น่าเป็นห่วงมากกับสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้นซ้ำซากแบบนี้ทุกปีใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งๆ ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งมีทั้งสาเหตุไฟป่าจากความแห้งแล้งตามธรรมชาติและที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ คือไฟจากการเจตนาเผาเรือกสวนไร่นาหญ้าวัชพืช ซึ่งชาวบ้านชาวไร่ชาวนานับเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมมือในการแก้ปัญหานี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่หรือผู้บริหารที่มาไล่วิ่งตามแก้ปัญหา จนปัจจุบันลุกลามบานปลายใหญ่โตจนกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคไปเสียแล้ว           ควันไฟที่เกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตามล้วนมีผลเสียต่อสุขภาพเพราะมันเต็มไปด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสุขภาพโดยตรงทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง แบบเฉียบพลันทำให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจ ดวงตา ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ หอบหืด แสบจมูก แสบหู แสบตา ผิวหนังอักเสบ เรียกว่าหลีกเลี่ยงลำบากเพราะทุกคนต้องหายใจกันทั้งนั้น ถึงแม้จะใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นแล้วก็ตาม ก็ป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วไม่ค่อยจะอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ใส่อะไรป้องกันเลย ผลกระทบต่อสุขภาพแบบเรื้อรังที่น่ากลัวจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในภาคเหนือ เพราะนอกจากฝุ่นละอองแล้วยังมีสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งจากการเผาไหม้คือสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช นอกจากนั้นพวกโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น ไอเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบยังตามมาถามหาอย่างต่อเนื่อง      …

รู้ทันมะเร็ง : มะเร็งจากไฟไหม้ยางรถยนต์ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  13 ก.พ. 2558           เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวไฟไหม้โรงงานยางรถยนต์ที่โกดังเก็บยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ข้างเคียงรวมทั้งหมด 6 อาคารภายในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี หลายคนอาจยังไม่ทราบถึงผลร้ายต่อสุขภาพที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสที่จะเป็นมะเร็งในระยะยาวจากควันไฟที่ไหม้ยางรถยนต์จำนวนมากขนาดนั้น           ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่ายางรถยนต์นั้นมีส่วนประกอบจากยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ สารเคมีต่างๆ เช่น กำมะถัน โอโซน น้ำมัน รวมทั้งเส้นลวดมาประกอบเป็นยางรถยนต์ เมื่อเกิดการเผาไหม้ บรรดาก๊าซพิษสารพิษที่เกิดตามหลังไฟไหม้ยางรถยนต์ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซไฮโดรเจนไซยาไนต์ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กลุ่มสารออกไซด์ของก๊าซไนโตรเจน ทั้งไนตริกออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์ และไดไนโตรเจนเตตระออกไซด์ ไอโลหะไม่ว่าจะเป็น ไอปรอท ไอตะกั่ว ไอสังกะสี ไอดีบุก เขม่าและควันไฟ สารไดออกซิน สารฟิวแรน บรรดาสารพัดก๊าซสารพัดพิษเหล่านี้หากสูดดมในปริมาณความเข้มข้นสูง มีอันตรายเฉียบพลันถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิตได้…

รู้ทันมะเร็ง : มะเร็งจากเหมืองทองคำ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  23 ม.ค. 2558           ข่าวร้อนเรื่องสุขภาพตอนนี้ นอกจากเรื่องเชื้ออหิวาห์เทียมในเลือดไก่ที่ทำเอาผู้คนไม่กล้ากินเลือดไก่ในข้าวมันไก่แล้ว ยังมีเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนบริเวณรอบเหมืองทองคำในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ที่มีปัญหามากขึ้น จนกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ต้องสั่งปิดเหมืองทองคำเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 วัน เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นกับประชาชน           จากผลการสุ่มตรวจสารโลหะหนักในเลือดของประชาชนกว่า 600 คน ในพื้นที่ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตรพบว่า กว่า 200 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 30 มีสารโลหะหนักในเลือด มีรหัสพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอบางส่วนหายไป หากเป็นส่วนโครโมโซมที่ควบคุมการเกิดมะเร็งและยังได้รับสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งจากอาหาร อากาศ น้ำดื่มและจากห่วงโช่อาหารทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีผลให้ป่วยเป็นมะเร็งได้ทั้งสิ้น สารโลหะหนักที่เป็นตัวร้ายของงานนี้คือ สารหนู แมงกานีส โดยเฉพาะสารหนู เพราะสารหนูถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ มี 2 รูปแบบ…

รู้ทันมะเร็ง : น้ำมันดิบรั่วก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  9 ส.ค. 2556           ข่าวการรั่วไหลของน้ำมันดิบในทะเล จ.ระยอง เป็นข่าวใหญ่คึกโครมอยู่หลายวัน ภาพคราบน้ำมันสีดำเหนียวข้นสกปรกลอยอยู่ใกล้ชายหาด บนหาดทราย บนโขดหินชายฝั่งอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ทำเอานักท่องเที่ยวหนีกลับไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคยังพากันไม่กล้ากินอาหารทะเลจากทะเลระยองเสียอีก ทำเอาเศรษฐกิจแถบนั้นซบเซาลงไปทันตาเห็น           โดยทั่วไปเมื่อมีการรั่วของน้ำมันดิบลงทะเลจำนวนมากเกิดขึ้น แนวทางปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับในทางสากลคือต้องรีบหาทางควบคุมไม่ให้การกระจายของน้ำมันดิบขยายวงกว้างออกไป กันคนที่อยู่ละแวกนั้นออกนอกพื้นที่ ห้ามจับสัตว์น้ำบริเวณนั้นมาบริโภค แม้ว่าบรรดาสัตว์น้ำจะพากันหนีออกจากบริเวณนั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พวกสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ช้า เช่น พวกหอยชนิดต่างๆ ก็มีโอกาสได้รับสารพิษจากน้ำมันดิบคือพวกสารไฮโดรคาร์บอน พวกโลหะหนัก เช่น สังกะสี แมงกานีส สารหนู ซึ่งสัตว์ทะเลทั้งหลายที่ได้รับสารพิษเหล่านี้ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภคได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว           ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวที่น่ากลัวเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากมะเร็ง จากการที่ในน้ำมันดิบมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน หรือสารพีเอเอช ที่สำคัญคือเจ้าสารพีเอเอชที่ว่าเป็นกลุ่มของสารก่อมะเร็งที่มีสมาชิกมากมายหลายตัวไม่ต่ำกว่า 18 ตัว เป็นสาเหตุของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด…

รู้ทันมะเร็ง : : ถนนกรุงเทพถนนก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  24 พ.ค. 2556           กรุงเทพเมืองฟ้าอมร ทุกวันนี้นอกจากอากาศจะร้อนอบอ้าวแล้ว ยังเต็มไปด้วยฝุ่นละอองมากขึ้นทุกวัน คนที่มีบ้านเรือนอยู่ติดถนนใหญ่จะรู้ดี แต่ที่สำคัญนอกจากอากาศที่ร้อนขึ้นและฝุ่นที่เยอะขึ้นแล้ว สารก่อมะเร็งยังปลิวว่อนตามสามแยกสี่แยกเต็มถนนหนักกว่าเดิมอีกด้วย           เมื่อเร็วๆ นี้มีผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์หรือนิด้า ซึ่งนำข้อมูลตัวอย่างค่าฝุ่นละอองในอากาศขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนของกรมควบคุมมลพิษ จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้ง 7 สถานีในกรุงเทพ อันได้แก่ การเคหะชุมชนดินแดง สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย 4 การไฟฟ้าย่อยธนบุรี โรงเรียนบดินทรเดชา โรงเรียนสิงหราชพิทยาคม การเคหะชุมชนคลองจั่น และโรงเรียนนนทรีวิทยา โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ปี 2549 -2552 มาวิเคราะห์หาสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ที่สำคัญคือเจ้าสารพีเอเอชที่ว่าเป็นกลุ่มของสารก่อมะเร็งที่มีสมาชิกมากมายหลายตัวไม่ต่ำกว่า 18 ตัว แต่ตัวที่ร้ายกาจก็เช่น สารเบนโซเอไพรีน ซึ่งพบในควันบุหรี่ด้วย        …

รู้ทันมะเร็ง : : เมลามีนปลอมก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  17 พ.ค. 2556           เชื่อว่ายุคนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับร้านขายของราคาถูกราคาย่อมเยาตามตลาดนัด ร้านค้าย่อยในงานแสดงสินค้าหรือแผงลอยในห้างสรรพสินค้า ที่บรรดาสินค้าที่วางขายราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อแต่คุณภาพคงไม่ต้องพูดถึง สินค้าหลายชนิดอาจไม่มีผลเสียต่อสุขภาพแต่พวกภาชนะใส่อาหารที่วางขายอยู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม ถ้วยพลาสติกที่ดูเหมือนเมลามีน แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เมลามีนแท้แต่เป็นเมลามีนปลอมที่เต็มไปด้วยสารก่อมะเร็ง          ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขออกโรงมาเตือนเรื่องเมลามีนปลอม ภัยใกล้ตัวที่หลายคนอาจยังไม่มีความรู้หรืออาจจะคาดไม่ถึง เพราะจากการสำรวจตลาดพบว่าภาชนะพลาสติกส่วนใหญ่ที่วางขายตามแหล่งที่ว่า เป็นยูเรียฟอร์มัลดีไฮด์หรือเมลามีนปลอมเป็นส่วนใหญ่ สารตัวนี้เมื่อเจอความร้อนที่เกินกว่า 60 องศาเซลเซียสหรือเจอกรดน้ำส้ม ก็จะปล่อยสารพิษที่ชื่อว่าฟอร์มัลดีไฮด์ออกมา อุณหภูมิยิ่งสูงสารพิษก็ยิ่งออกมามาก ซึ่งองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศจัดให้ฟอร์มัลดีไฮด์เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ตั้งแต่ปี 2549 โดยพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งโพรงจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งสมองและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ปัจจุบันมีหลักฐานจากงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าฟอร์มัลดีไฮด์เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์อย่างมีนัยสำคัญ           โดยปกติแล้วเมลามีนแท้หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือเมลามีนฟอร์มัลดีไฮด์เป็นพลาสติกที่ปลอดภัยในการใช้เป็นภาชนะใส่อาหารทั่วไป แต่หากใช้ไม่ถูกวิธี เช่น นำไปใช้กับไมโครเวฟหรือเตาอบจะทำให้เกิดอันตราย และเมื่อพลาสติกชำรุดหรือมีสภาพเก่าเสื่อมสภาพจนสีเปลี่ยนไป ก็ไม่ควรนำมาใช้โดยเฉพาะการใช้ใส่อาหารร้อน อุณหภูมิที่ปลอดภัยในการใช้เมลามีนอยู่ที่ระดับ 70-80 องศาเซลเซียส อันตรายที่เกิดจากการใช้เมลามีนแท้แบบไม่ถูกวิธีก็อาจได้รับสารก่อมะเร็งฟอร์มัลดีไฮด์ไม่ต่างจากพวกเมลามีนปลอมได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเมลามีนปลอมปล่อยสารฟอร์มัลดีไฮด์ออกมาได้ง่ายกว่า…

รู้ทันมะเร็ง : : กระดาษทิชชูก่อมะเร็งจริงหรือ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  18 ก.ค. 2557           เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวที่สร้างความตกอกตกใจแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคุณแม่บ้านที่รักสุขภาพ ที่นิยมใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอดก่อนการบริโภค ด้วยเกรงว่าน้ำมันที่ตกค้างในของทอดจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ครั้นเมื่อมีข่าวว่าในกระดาษทิชชูซับน้ำมันมีสารก่อมะเร็งอยู่ด้วย เลยทำเอาผู้คนสับสนกันเป็นการใหญ่           จากการที่มีข่าวว่ากระบวนการผลิตกระดาษทิชชูนั้น ต้องใช้กระดาษใช้แล้วมารีไซเคิล เพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ต้องใช้โซดาไฟหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์ในการฟอกเยื่อกระดาษให้มีสีขาว อาจตกค้างมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อ สารฟอกขาวอีกตัวก็คือกลุ่มสารคลอรีนที่จะทำให้เกิดสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ในที่สุดบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายท่าน ออกมายืนยันว่ากระดาษทิชชูไม่ได้มีสารอันตรายหรือน่ากลัวอย่างที่ร่ำลือกันไปผิดๆ เริ่มตั้งแต่กระบวนการฟอกขาวเยื่อกระดาษที่อาจมีสารเคมีตกค้างนั้น แท้จริงแล้วมีกระบวนการล้างมากมายหลายขั้นตอน จนแทบไม่มีทั้งโซดาไฟและสารไดออกซินตกค้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานผลิตกระดาษในบ้านเราที่ใช้สารคลอรีนในการผลิตนั้น ปัจจุบันมีเหลืออยู่เพียงโรงเดียว โรงงานส่วนใหญ่ใช้สารคลอรีนไดออกไซด์ที่ไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งไดออกซินแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่กระดาษทิชชูหรือกระดาษอนามัยเท่านั้น กระดาษเอ 4 ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน ก็มีสารทั้งสองตัวที่ว่าตกค้างน้อยมากเช่นกัน มิหนำซ้ำสารไดออกซินถ้ามีตกค้างในกระดาษจริง ก็ไม่ใช่จะหลุดออกมาได้ง่ายๆ ในการสกัดสารไดออกซินออกจากกระดาษในห้องปฏิบัติการนั้น ต้องใช้เวลาที่ยาวนานและอุณหภูมิที่สูงมากกว่าจะสกัดสารไดออกซินออกมาได้           สรุปว่าเรื่องกระดาษทิชชูซับน้ำมันมีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ด้วยนั้น ก็ไม่ต่างจากเรื่องขวดน้ำพลาสติกตากแดดทิ้งไว้ในรถที่ลือกันว่ามีสารก่อมะเร็ง ก็ทำความเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องตรงกันนะครับว่า ไม่มีสารก่อมะเร็งแน่นอนครับ…เชื่อผมสิ