รู้ทันมะเร็ง : มะเร็งจากแป้งฝุ่น : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  13 เม.ย. 2555           บรรยากาศมหาสงกรานต์ที่ชุ่มฉ่ำเย็นทั่วหล้าในเวลานี้ ภาพผู้คนออกมาเล่นน้ำเล่นประแป้งกันไปทั่วท้องถนน ทำให้นึกถึงเรื่องแป้งฝุ่นกับมะเร็งซึ่งเหมาะกับช่วงสงกรานต์ขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง           อันว่าแป้งฝุ่นที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ทำจากสารที่มีชื่อว่าทัลค์มาทำให้เป็นผงละเอียดเรียกว่าผงทัลคัม เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งประกอบด้วยธาตุแมกนีเซียม ซิลิกอนและออกซิเจน มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นและกลิ่นได้ดี ทำให้ผิวแห้งลื่นเนียน จึงนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักของแป้งฝุ่นชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแป้งฝุ่นทาตัว แป้งเด็ก แป้งน้ำ แป้งรองพื้น แป้งพัฟทาหน้า แป้งปัดแก้มและอายแชโดว์ เจ้าสารทัลค์บางชนิดมีส่วนประกอบของแร่ใยหินหรือแอสเบสทอสผสมโรงอยู่ด้วยตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าแร่ใยหินนี้ยืนยันแล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็ง เมื่อถูกสูดดมเข้าทางลมหายใจต่อเนื่องเป็นเวลานาน มะเร็งปอดและมะเร็งเยื่อหุ้มปอดก็จะถามหา ดังนั้นในหลายประเทศจึงห้ามไม่ให้มีการปนเปื้อนของแร่ใยหินในแป้งทาตัวทุกประเภท ในบ้านเรากระทรวงสาธารณสุขเคยทำการสำรวจแป้งพัฟทาหน้าและแป้งปัดแก้มจากท้องตลาดเมื่อ 2 ปีก่อนจำนวน 79 ตัวอย่าง พบว่ามีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ 2 ตัวอย่าง ทำเอาหวาดเสียวไปตามๆ กัน หากพิจารณาเฉพาะตัวแป้งฝุ่นที่ไม่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ณ เวลานี้ยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งปอดแต่อย่างใด          …

รู้ทันมะเร็ง : ย้อมผมบ่อยเป็นมะเร็งจริงหรือ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  30 มี.ค. 2555           สมัยนี้ไม่ว่าไปแห่งหนตำบลใดเห็นมีแต่คนทำสีผมกันมากมาย สมัยก่อนถ้าจะย้อมผมก็มีแต่คนผมขาวหรือคนที่ยังไม่อยากแก่ย้อมแต่สีดำเท่านั้น แต่ยุคนี้มีให้เลือกสารพัดทุกเฉดสี ทำแล้วก็ดูสวยงามทันสมัยดีจนบ่อยครั้งที่มองข้างหลังนึกว่าฝรั่งผมทอง พอไปดูข้างหน้ากลายเป็นฝรั่งดองไปซะฉิบ วันนี้เลยได้โอกาสเอาเรื่องยาย้อมผมมาเล่าสู่กันฟังเพราะมีคนสงสัยคาใจอยู่พอสมควรโดยเฉพาะคนที่ย้อมเองนั่นแหละ เรียกว่าอยากสวยอยากหล่อแต่ก็ยังเป็นห่วงสุขภาพของตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญที่กลัวมากที่สุดก็กลัวเป็นมะเร็งน่ะแหละ           เค้าแบ่งประเภทของยาย้อมผมเป็น 3 ประเภทหลักคือแบบชั่วคราว แบบกึ่งถาวรและแบบถาวร 2 ประเภทแรกไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะสระผมไม่กี่ทีสีก็หาย แบบที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือแบบที่ 3 ที่ใช้สารเคมีล้วนๆ มาฟอกเม็ดสีผมเดิมออกแล้วใส่สารเคมีที่ทำให้เกิดสีใหม่ลงไป หนังศีรษะก็ระคายเคืองมากบ้างน้อยบ้างและดูดซึมเอาสารเคมีพวกนี้ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนคิดว่าจะเสี่ยงเฉพาะผิวหนังศีรษะอักเสบและมะเร็งของหนังศีรษะ แต่จากศึกษาของสหรัฐอเมริกาโดยศึกษาทบทวนรายงานทางการแพทย์จำนวน 79 รายงานทั่วโลกในปี 2548 พบว่าการใช้ยาย้อมผมเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน 1.15 เท่า มะเร็งเต้านม 1.06 เท่าและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 1.01 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สารเคมีย้อมผมก่อนปี 2523 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันองค์กรที่ดูแลด้านมะเร็งระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศและสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกายังไม่มีบทสรุปยืนยัน…

รู้ทันมะเร็ง : ฝังแร่รักษามะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  24 เม.ย. 2558           เรื่องร้อนๆ ในวงการมะเร็งบ้านเราเวลานี้ หนีไม่พ้นเรื่องผู้ป่วยมะเร็งคนไทยถูกหลอกไปรักษามะเร็งที่เมืองจีน จริงๆ แล้วไม่ใช่ประเทศเราประเทศเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ ยังมีผู้ป่วยที่มีอันจะกินอีกหลายประเทศที่ออกมาแฉความจริงในโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือได้รับการรักษาเฉพาะที่เฉพาะบางจุด ทั้งๆ ที่ตัวโรคได้ลุกลามไปมากมายหลายอวัยวะ เสียค่าใช้จ่ายหลายแสนหลายล้านบาทต่อราย แต่ในที่สุดอยู่ได้ไม่นานขึ้นกว่ากลุ่มที่รักษาด้วยวิธีการอื่น และหนึ่งในการรักษาที่โหมโฆษณาอย่างหนักและมีคนป่วยหลงเชื่อจำนวนมากนั่นก็คือการฝังแร่รักษามะเร็ง           ลำพังหากการรักษามะเร็งไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ถ้าไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพกับคนรอบข้างก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรมาก แต่การฝังแร่แล้วปล่อยให้ผู้ป่วยที่ยังมีปริมาณการแผ่รังสีสูงอยู่ ออกมาเดินทางขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทยโดยไม่ให้คำแนะนำอะไร นับเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในทางการแพทย์และไม่มีโรงพยาบาลไหนในโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้วเค้าทำกัน เพราะรังสีในปริมาณที่สูงนั้นมีอันตรายต่อคนรอบข้างที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ โดยเฉพาะเด็กและสตรีมีครรภ์ ขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างแข็งขัน          วกกลับมาเรื่อง การฝังแร่รักษามะเร็ง โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลักคือ ฝังแร่แบบชั่วคราวและแบบฝังถาวร การฝังแร่แบบชั่วคราวก็ใส่แร่ไปในอวัยวะที่เป็นมะเร็งโดยตรงหรือใกล้เคียงกับอวัยวะนั้น เพื่อให้ตัวแร่ปล่อยรังสีออกมาตามระยะเวลาที่กำหนดแล้วดึงแร่ออก ตัวแร่ที่ใช้ฝังกันในการรักษามะเร็งอวัยวะต่างๆ ที่ใช้กันบ่อยก็เช่น อิริเดียม 192 โคบอลท์ 60 ซีเซียม…

รู้ทันมะเร็ง : ผิวขาวใสแต่ใกล้มะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  23 ธ.ค. 2554           บรรดาสารพัดมะเร็งของอวัยวะทั่วร่างกาย มะเร็งผิวหนังจัดเป็นมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยในคนไทย เรียกว่าไม่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชายและเพศหญิงหรือในทั้ง 2 เพศรวมกันก็ตาม ก็นับเป็นความโชคดีของคนผิวเหลืองและคนผิวสีผิวดำที่ไม่ต้องประสบเคราะห์กรรมจากมะเร็งผิวหนังมากเท่ากับฝรั่งผิวขาว แต่ในอนาคตข้างหน้าสถานการณ์อาจเปลี่ยนไป หากคนไทยรุ่นใหม่ยังอยากมีผิวขาวใสแบบไร้สติอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้           อันว่ามะเร็งผิวหนังนั้นเป็นมะเร็งที่ง่ายต่อการสังเกตเพียงแค่เจ้าตัวเอาใจใส่ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นแผลเรื้อรังที่หายช้าผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงของไฝ กระ ขี้แมลงวันในเรื่องของขนาดที่ใหญ่ขึ้นหรือเรื่องของสีที่มีลักษณะดำเข้มขึ้น สาเหตุของการเกิดมะเร็งผิวหนังนั้นมีมากมายหลายประการ แต่ที่จัดว่าเป็นสาเหตุหลักๆ ได้แก่ เรื่องการระคายเคืองเรื้อรังและรังสีอุลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีที่เรารู้จักดี โดยปกติเซลล์สร้างเม็ดสีผิวซึ่งอยู่ในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะสร้างเม็ดสีเมลานินทำให้แต่ละคนแต่ละเผ่าพันธุ์มีสีผิวที่แตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานินมาก ส่วนคนผิวขาวก็เกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานินน้อย ความสำคัญของเม็ดสีเมลานินคือมันทำหน้าที่คล้ายแผ่นฟิล์มกรองแสงที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหนังชั้นในจากรังสียูวี โดยเจ้าเม็ดสีเมลานินจะดูดซับรังสียูวีเอาไว้และเปลี่ยนให้เป็นความร้อน ไม่ปล่อยให้รังสียูวีสามารถทะลุทะลวงผ่านไปทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นในได้ อันอาจจะนำไปสู่การเกิดการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอและกลายเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาในที่สุด เห็นหรือยังล่ะครับว่าเม็ดสีเมลานินมีคุณค่าเพียงไร           วกกลับมาเรื่องประเด็นร้อนที่มีการใช้สารกลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวสดใสแบบเกาหลี เป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทยทั้งเพศชายและหญิง ไม่เว้นแม้แต่เพศที่ 3 เมื่อก่อนใช้แค่กินแต่ได้ผลไม่ทันใจวัยรุ่นใจร้อน ต้องใช้ฉีดในปริมาณสูง เจ้าสารตัวนี้จะยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินชั่วคราว ย้ำนะครับว่าชั่วคราว…

รู้ทันมะเร็ง : ความอ้วน : สาเหตุของมะเร็งที่ถูกมองข้าม : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  20 พ.ค. 2554           ภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคย คงหนีไม่พ้นภาพคนศีรษะโล้นผิวดำคล้ำร่างกายผ่ายผอมดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง หลายคนคงไม่รู้ว่าผู้ป่วยเหล่านั้นก่อนเป็นมะเร็ง มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนเกินปกติอยู่จำนวนไม่น้อย และที่สำคัญคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและอีกมากมายหลายโรค แต่หลายคนคงคาดไม่ถึงว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง          เหตุเกิดจากการที่เซลล์ไขมันส่วนเกินมีการสร้างฮอร์โมนเพศที่มีชื่อว่าเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น ในสภาวะปกติฮอร์โมนตัวนี้พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง แต่ในเพศหญิงจะพบมากกว่าเพราะถูกสร้างจากรังไข่เป็นหลัก และถูกสร้างจากอวัยวะอื่นในปริมาณที่น้อยกว่า เช่น ตับ ต่อมหมวกไต เต้านมและเซลล์ไขมัน เจ้าฮอร์โมนตัวนี้องค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่มที่หนึ่ง กล่าวคือมีหลักฐานชัดเจนเพียงพอว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งในคน เมื่อในร่างกายคนอ้วนมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่าปกติจึงมีการจับกับตัวรับฮอร์โมนในเซลล์มากขึ้น ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอในเซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็งและกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวมากขึ้นในที่สุด ดังนั้นภาวะอ้วนจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุมดลูก           ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเรามีน้ำหนักที่เหมาะสมหรือไม่ ก็สามารถคำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย โดยการเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้ง หารด้วยความสูงเป็นเมตรได้เท่าไหร่เอาความสูงเป็นเมตรหารซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าค่าที่ได้อยู่ในช่วง 18-25 แปลว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าเกินกว่านี้ก็เริ่มน้ำหนักเกิน ถ้าค่าที่ได้เกินกว่า 30 ก็เรียกว่าอ้วนได้อย่างเต็มปากเต็มคำ…

รู้ทันมะเร็ง : ‘ก๊าซเรดอน’ ภัยเงียบ ‘มะเร็งปอด’ : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  2 พ.ย. 2555           ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วเรื่องไม่สูบบุหรี่ ทำไมยังเป็นมะเร็งปอด ได้เอ่ยถึงก๊าซเรดอนว่าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของมะเร็งปอด เจ้าก๊าซเรดอนที่ว่าจัดเป็นภัยใกล้ตัวคือเป็นมลภาวะทางอากาศภายในอาคารที่สำคัญไม่แพ้เรื่องบุหรี่และแร่ใยหิน แต่มักไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร มีการประมาณการณ์ว่า 12 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่เสียชีวิตทั้งที่สูบและไม่สูบบุหรี่ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประมาณ 15,000 – 20,000 คนต่อปีมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการได้รับก๊าซเรดอน จนถูกจัดให้เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดเป็นอันดับสองรองจากบุหรี่เลยทีเดียว สำหรับประเทศไทยเรานั้นยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน           องค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศจัดให้ก๊าซเรดอนเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์อย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 หรือ 24 ปีมาแล้ว เจ้าก๊าซกัมมันตรังสีตัวนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการเสื่อมสลายตัวของธาตุยูเรเนียมซึ่งมีปะปนอยู่ในหินดินทรายทั่วโลก จนกลายเป็นเรเดียมและก๊าซเรดอนในที่สุด โดยเมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก๊าซเรดอนจะสลายตัวปล่อยรังสีอัลฟาพลังงานสูงออกมาทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด จากผลการศึกษาทางระบาดวิทยาของคนงานเหมืองแร่หลายพันคนทั่วโลก โดยใช้ระยะเวลาการศึกษานานกว่า 50 ปีในพื้นที่ที่ต่างกันพบว่า ก๊าซเรดอนเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงต่อการเกิดมะเร็งปอด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ระยะเวลาการสัมผัสและระยะเวลานับตั้งแต่เริ่มสัมผัส ในบ้านเราก็เคยมีการศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของก๊าซเรดอนกับมะเร็งปอดในจังหวัดทางภาคเหนือ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของมะเร็งปอดสูงสุดในประเทศ พบว่าระดับของก๊าซเรดอนในที่อยู่อาศัยและระยะเวลาของการสูบ หรือเคยสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอดอย่างมีนัยสำคัญ      …

รู้ทันมะเร็ง : สารหนู’สารก่อมะเร็งใกล้ตัว : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  28 ก.ย. 2555           ช่วงสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวน่าสนใจจากเครือข่ายผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาเรียกร้องให้สำนักงานอาหารและยาหรือเอฟดีเอของสหรัฐจำกัดปริมาณสารหนูในผลิตภัณฑ์จากข้าวเจ้า หลังจากมีการตรวจพบว่ามีสารหนูอนินทรีย์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์จากข้าวชื่อดังหลายยี่ห้อมากกว่า 60 ตัวอย่างทั้งผลิตภัณฑ์จากข้าวขาวและข้าวกล้อง ซีเรียล แคร็กเกอร์ พาสต้าที่ทำจากข้าวและน้ำนมข้าว เครือข่ายผู้บริโภคออกมาเตือนว่าตราบใดที่ยังไม่มีการออกกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน แนะนำให้เด็กทารกควรจะรับประทานซีเรียลเพียง 1 ครั้งต่อวันและไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีดื่มน้ำนมข้าวเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่ผู้ใหญ่ไม่ควรกินข้าวมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยแนะนำให้กินธัญพืชอื่นๆ เป็นการทดแทน เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากมีปริมาณสารหนูน้อยกว่า           อันว่าเจ้าสารหนูเป็นธาตุกึ่งโลหะพบได้ทั่วไปในธรรมชาติทั้งในน้ำ อาหารและดิน คนจีนใช้สารหนูเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิดมา 2-3 พันปีมาแล้วและใช้เป็นสารพิษที่ใช้ในการฆาตกรรมด้วย เรียกว่ามีทั้งคุณและโทษ สารหนูถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ มี 2 รูปแบบคือสารหนูอินทรีย์และสารหนูอนินทรีย์ สารหนูอินทรีย์จะผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วและไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่สารหนูอนินทรีย์มีอันตรายมากกว่า ถ้าได้รับในปริมาณมากจะมีอาการพิษเฉียบพลันคือ อาเจียน…

รู้ทันมะเร็ง : 9จังหวัด80วันกับควันก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  1 ก.พ. 2556           กลับมาอีกแล้วกับเทศกาลมหาภัยต่อสุขภาพพี่น้องชาวภาคเหนือตอนบน นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ผู้บริหารระดับสูงในภาคการเมืองและภาคราชการเห็นความสำคัญโดยออกมามอบนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนกันแต่เนิ่นๆ โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการเผาในช่วง 80 วันตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.- 10 เม.ย. 2556 ตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นช่วงที่มักเกิดปัญหาหมอกควันไฟป่าในระดับวิกฤต ซึ่งมีทั้งไฟป่าจากความแห้งแล้งตามธรรมชาติและที่พวกเรามีส่วนสำคัญในการป้องกันได้คือไฟจากการเจตนาเผาสวนไร่นากำจัดหญ้าวัชพืชจากฝีมือมนุษย์เอง           ไม่ว่าควันไฟจะเกิดจากสาเหตุใดล้วนมีผลเสียต่อสุขภาพเพราะมันเต็มไปด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสุขภาพโดยตรงทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง แบบเฉียบพลันทำให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจ ดวงตา ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการไอ เจ็บคอ หอบหืด แสบจมูก แสบหู แสบตา ผิวหนังอักเสบ เรียกว่าหลีกเลี่ยงลำบากเพราะทุกคนต้องหายใจกันทั้งนั้น ถึงแม้จะใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นแล้วก็ตาม ก็ป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วไม่ค่อยจะอยู่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ใส่อะไรป้องกันเลย ผลกระทบต่อสุขภาพแบบเรื้อรังที่น่ากลัวจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในภาคเหนือ เพราะนอกจากฝุ่นละอองแล้วยังมีสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งจากการเผาไหม้คือสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช นอกจากนั้นพวกโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น ไอเรื้อรัง โรคภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง โรคไซนัสอักเสบยังตามมาถามหาอย่างต่อเนื่อง…

รู้ทันมะเร็ง : ควันดีเซลก่อมะเร็ง : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  22 มิ.ย. 2555           นับวันการจราจรเมืองไทยจะเลวร้ายลงทุกวัน ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมืองอื่นๆ ทั่วทุกภูมิภาครถราก็ติดกันไปทั่ว หลายคนความเครียดมาทักทายกันตั้งแต่เช้าในขณะที่อีกหลายคนเริ่มชาชินและมองเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นอกจากจะเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลจากการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงทิ้งไปในท้องถนนแล้ว ควันไอเสียยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างไม่ต้องสงสัย           กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาที่ประชุมองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศได้ออกประกาศยกระดับความอันตรายจากควันไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซล จากที่เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2531 ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์หรือเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2A ให้ยกระดับไปเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์หรือเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 1 เนื่องจากมีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอจากรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติและสถาบันสุขภาพและอาชีวเวชศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าคนงานเหมืองใต้ดินที่สูดดมควันไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ป่วยเป็นมะเร็งปอดจำนวนมากและมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วยเช่นกัน ในขณะที่ควันเสียจากเครื่องยนต์แก๊สโซลีนยังจัดอยู่ในกลุ่มสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งในคนหรือเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B ซึ่งยังไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เคยระบุไว้เมื่อ 23 ปีก่อน           กลับมาดูสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยเรา ภาพรถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ รถปิคอัพ รถตู้ รถเมล์ รถบัสที่มากมายเต็มท้องถนน ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงทั้งสิ้น…

รู้ทันมะเร็ง : แร่ใยหินตัวการมะเร็งปอด : โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

เครดิต : คมชัดลึก  1 มิ.ย. 2555           ไม่รู้ว่าจะภาคภูมิใจหรือเศร้าใจดีกับข้อมูลการนำเข้าแร่ใยหินของประเทศไทยว่ามากเป็นอันดับ 3 ในทวีปเอเชียรองจากจีนและอินเดียและเป็นอันดับ 5 ของโลกเสียด้วยซ้ำ หากมองในมุมด้านเศรษฐศาสตร์หรือด้านอุตสาหกรรมคงจะภาคภูมิใจว่ามีการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้อย่างมหาศาลจากการนำเอาแร่ใยหินมาผลิตกระเบื้องมุงหลังคาแบบลอนลูกฟูก ท่อระบายน้ำ กระเบื้องปูพื้น ฉนวนกันความร้อน ฝ้าเพดาน ผ้าเบรก คลัตช์ พวกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้แร่ใยหินเป็นฉนวนกันความร้อน ก็เช่น เครื่องไดร์เป่าผม เครื่องปิ้งขนมปัง สายเตารีดและอีกมากมาย แต่หากมองในแง่สุขภาพ ต้องบอกว่าเศร้าใจที่จะบอกว่าบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่ห่วงใยใส่ใจสุขภาพประชาชนกว่า 60 ประเทศได้สั่งห้ามนำเข้าแร่ใยหินมานานหลายปีแล้ว ในขณะที่พี่ไทยเรานำเข้ากันมานาน 50 กว่าปีๆ ละเป็นแสนๆ ตัน อุแม่เจ้า           จากชื่อใยหินก็บอกสรรพคุณแล้วว่าเมื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามก็จะช่วยให้มีคุณสมบัติทนเหมือนหิน ทั้งทนกรดทนด่าง ทนความร้อน ทนไฟ แข็งแรงทนทาน มีความเหนียว ทนทานต่อแรงดึงได้สูง พอเข้าสู่ร่างกายด้วยการสูดดมละอองหรือฝุ่นของแร่ใยหินทีละเล็กทีละน้อยติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปีก็ทำให้เนื้อเยื่อที่เจ้าแร่ใยหินไปจับพลอยแข็งไปด้วย วงการแพทย์เขาทราบกันนาน 80 กว่าปีแล้วว่า เจ้าแร่ใยหินหรือแอสเบสตอสเป็นภัยต่อสุขภาพตั้งแต่ทำให้เกิดปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการหายใจรับเส้นใยเข้าไป…