ข่าวปลอม อย่าแชร์! หากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที

ตามที่มีการบอกต่อข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีผู้โพสต์ระบุว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายต่อสภาวะกดดันทางกาย จิตใจ และอารมณ์ เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะมีการสร้างฮอร์โมนเพื่อตอบสนองต่อความเครียดนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นพบว่าความเครียดอาจเกี่ยวข้องกับการขยายขนาดและแพร่กระจายของมะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าการมีความเครียดน้อย ๆ ในช่วงสั้น ๆ จะทำให้ร่างกายตื่นตัว ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในทางกลับกันหากความเครียดนั้นกินระยะเวลายาวนานจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ และอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันทีนั้น พบว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันแน่ชัด และหากความเครียดส่งผลกระทบหลายด้าน จึงควรหาวิธีผ่อนคลายจากภาวะเครียด เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ชอบ นั่งสมาธิ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! Mistletoe ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง ทางเลือกใหม่ที่ไม่ทำลายเม็ดเลือดขาว

ประเด็น : Mistletoe ยาฆ่าเซลล์มะเร็งทางเลือกใหม่ที่ไม่ทำลายเม็ดเลือดขาว ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ามิสเซิลโทรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : Mistletoe (มิสเซิลโท) เป็นพืชกาฝากหรือพืชเบียน (Parasitic plants) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Viscum album ซึ่งเจริญเติบโตบนกิ่งพืชไม้ยืนต้นชนิดอื่น เช่น ต้นแอปเปิ้ล ต้นโอ๊ค ต้นเมเปิ้ล เป็นต้น มิสเซิลโทมีถิ่นกำเนิดในยุโรปและเอเชียตะวันตก ในประเทศทวีปยุโรปมีการใช้สารสกัดจากมิสเซิลโททางด้านการแพทย์เป็นทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดผลข้างเคียงของการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดและการฉายรังสี เช่น ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไม่อยากอาหาร จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าในมิสเซิลโทมีสารเลคติน (lectin) ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังพบสารวิสโคท็อกซิน (viscotoxins) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำสารสกัดจากมิสเซิลโทมาใช้ทดสอบฤทธ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามงานวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ และปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่อนุมัติให้ใช้สารสกัดจากมิสเซิลโทเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ ข้อแนะนำ : การใช้การแพทย์ทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็งควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร.…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ธาตุเหล็กในพืชดีกว่า ธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์

  ข้อเท็จจริง : ธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าธาตุเหล็กจากพืช ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งพบในฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดฮีม (Heme iron) และชนิดไม่ใช่ฮีม (Non–heme) โดยธาตุเหล็กชนิดฮีมพบมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์สีแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะ เป็นต้น ส่วนชนิดไม่ใช่ฮีมพบมากในพืชผัก ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง แม้ว่าจะมีข้อมูลแสดงความเชื่อมโยงว่าการรับประทานอาหารประเภทเนื้อแดงสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง อย่างไรก็ตามจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กชนิดฮีมจากเนื้อสัตว์ได้ดีกว่า ดังนั้นผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรรับประทานพืชผักที่มีธาตุเหล็กให้มากขึ้น ซึ่งหากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางส่งผลเสียต่อสุขภาพ อีกทั้งเนื้อสัตว์ก็ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงไม่ควรงดรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ข้อแนะนำ : ข้อมูลจาก World Cancer Research Fund International หรือกองทุนวิจัยมะเร็งโลกแนะนำให้รับประทานเนื้อแดงไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีความหลากหลาย หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! วิธีการตรวจมะเร็งง่าย ๆ โดยการเอาน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ

ข้อเท็จจริง : การนำน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ ไม่ใช่วิธีการตรวจหาโรคมะเร็ง ข้อสรุป : ข่าวปลอม ผลกระทบ : การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกหรือการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เป็นการตรวจร่างกายในผู้ที่ยังไม่มีอาการของโรคเพื่อค้นหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ โดยทั่วไปหลักการที่สำคัญในการตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรก ได้แก่ การสอบถามประวัติสุขภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต การตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น การตรวจเต้านม การตรวจทวารหนัก การตรวจปากมดลูก และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเม็ดเลือด การเอกซเรย์ปอด ซึ่งหัตถการเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการพิจารณาหรือวินิจฉัยโดยแพทย์ ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าวิธีการตรวจมะเร็งง่าย ๆ โดยการเอาน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ นั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าวิธีดังกล่าวไม่สามารถตรวจหามะเร็งได้ เนื่องจากการตรวจคัดกรองมะเร็งแต่ละชนิดนั้น มีวิธีการและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันโรคมะเร็งที่สามารถคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามรับประทานปลา เพราะโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์

ข้อเท็จจริง : จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบว่าเป็นข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ยืนยันแน่ชัดว่าโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ และไม่มีข้อห้ามในการรับประทานปลาในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผลกระทบ : ปลาถือเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย และไขมันต่ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการโปรตีนสูงกว่าคนปกติ ซึ่งโปรตีนถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย การจำกัดปริมาณโปรตีนหรือการรับประทานอาหารแบบผิดวิธีตามความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพผู้ป่วยและอาจกระทบต่อการวางแผนการรักษา ข้อแนะนำ : ผู้ป่วยมะเร็งควรเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงาน โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อร่างกายตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันน้ำหนักลด การสูญเสียกล้ามเนื้อ และไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร มีสุขภาพที่แข็งแรง และลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทางโรงพยาบาลจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการคอยให้คำปรึกษากับผู้ป่วยอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือhttp://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! คลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็ง

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าคลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็ง ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : คลื่นจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “คลื่นวิทยุ” มีความถี่อยู่ในช่วงระหว่าง 3 กิโลเฮิรตซ์ จนถึง 300 กิกะเฮิรตซ์ ส่วนคลื่นไวไฟ (WiFi) เป็นระบบการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย โดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุเช่นเดียวกัน จากการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณของคลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือจากสถานีฐานในระยะ 400 เมตร พบว่ามีระดับความแรงตํ่ามากเมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสากล และนอกจากนี้ยังไม่พบงานวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่าคลื่นวิทยุเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นจากการเผยแพร่ข้อมูลว่าคลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็งนั้น ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุในชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไปจะก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ ข้อแนะนำ : สำหรับความกังวลถึงผลกระทบของคลื่นวิทยุต่อสุขภาพนั้น พบว่าการใช้โทรศัพท์แนบหูต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้รู้สึกร้อนที่ใบหู การหลีกเลี่ยงคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ อาจทำได้โดยการใช้อุปกรณ์ Hand free เช่น เปิดลำโพง ใช้หูฟัง เป็นต้น ในกรณีเด็กที่ใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอเป็นประจำมักมีอาการแสบหรือปวดตา สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน และอาจก่อให้เกิดอาการของโรคสมาธิสั้นเทียม (Pseudo-ADHD) ได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! สมุนไพรสมอไทย ใช้รักษาโรคมะเร็งหาย

ตามการปรากฏข้อมูลเรื่องสมุนไพรสมอไทย ใช้รักษาโรคมะเร็งหาย ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากการเผยแพร่ข้อความถึงประเด็นเรื่อง รักษาโรคมะเร็งหายได้ด้วย สมอไทย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงว่า ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนหรืองานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันว่าสมอไทยสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ โดยสมอไทยนั้น เป็นสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้หลายส่วนทั้ง ดอก ผล แก่น และเปลือกต้น สารประกอบหลักที่พบในผลสมอไทย เช่น แทนนิน สารกลุ่มพอลีฟีโนลิก (กรดแกลลิค กรดแอลลาจิก และคอริลาจิน) วิตามินเอ และซี สารเหล่านี้มีฤทธิ์ในต้านอนุมูลอิสระ ต้านจุลินทรีย์บางชนิดที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร บรรเทาอาการท้องผูกท้องเฟ้อ ทำให้สมอไทยถูกนำมาใช้ในตำรับยาแผนไทย และได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชียาหลักแห่งชาติโดยเป็นส่วนประกอบของยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ทั้งนี้ สมุนไพรมีคุณประโยชน์แต่ควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัช และวิธีการใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับโรค การรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือhttp://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนหรืองานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันว่าสมุนไพรสมอไทยสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ สมอไทยถูกนำมาใช้ในตำรับยาแผนไทย…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! รักษามะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย

ตามที่มีการแชร์คลิปวิดีโอ เกี่ยวกับกับประเด็นเรื่อง รักษามะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีคลิปวิดีโอแนะนำผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้รักษาด้วยการดื่มน้ำปั่นผักจิงจูฉ่าย ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ได้ชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ โดยผักจิงจูฉ่าย (Artemisia lactiflora) เป็นพืชท้องถิ่นของประเทศจีนนิยมนำมาใช้ปรุงอาหารอุดมไปด้วยวิตามิน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารเบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และแอสคอบิกแอซิด ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามงานวิจัยที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่อยู่ในระดับห้องทดลอง และปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งหลัก ๆ มี 3 วิธี ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด และรังสีรักษา ซึ่งทั้งนี้การรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผักจิงจูฉ่ายช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในมนุษย์ได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! มะละกอช่วยให้เนื้องอกหดตัว

ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเรื่องมะละกอช่วยให้เนื้องอกหดตัว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการบอกต่อโดยระบุว่ามะละกอช่วยให้เนื้องอกหดตัว ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารสกัดมะละกอเข้มข้นช่วยลดขนาดของเนื้องอกในมนุษย์ได้ ซึ่งมะละกอ (Carica papaya) เป็นผลไม้ที่นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร รวมถึงยาแผนโบราณต่าง ๆ โดยปัจจุบันข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สารสกัดมะละกอต้านมะเร็งมีเพียงงานวิจัยในหลอดทดลองเท่านั้นและมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอน ดังนั้นจากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าสารสกัดมะละกอช่วยลดขนาดของเนื้องอกในมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารหรือสมุนไพรเพื่อหวังผลในการรักษานั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th) หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารสกัดมะละกอเข้มข้นช่วยลดขนาดของเนื้องอกในมนุษย์ได้

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ออกกำลังกายหนักอาจทำให้มะเร็งโตขึ้น

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องออกกำลังกายหนักอาจทำให้มะเร็งโตขึ้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการบอกต่อข้อมูลโดยระบุว่าออกกำลังกายหนักอาจทำให้มะเร็งโตขึ้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่ายังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าออกกำลังกายหนัก อาจทำให้มะเร็งโตขึ้น การออกกำลังกายถือเป็นการทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ เช่น ช่วยควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิต เป็นต้น สำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นควรเลือกวิธีการออกกำลังกายให้มีความเหมาะสมตามสภาวะและความพร้อมของผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ป่วยมะเร็งในแง่ของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รักษามวลกล้ามเนื้อ ลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษา และลดความเครียด ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการกด กระแทกข้อต่อต่าง ๆ ผู้ป่วยมะเร็งควรเลือกวิธีการออกกำลังกายตามความเหมาะสมผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการฉายแสง ควรงดการออกกำลังกาย นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษารวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายเพื่อให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ  และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าออกกำลังกายหนัก อาจทำให้มะเร็งโตขึ้น