ข่าวปลอม อย่าแชร์! หมากพลูช่วยต้านมะเร็ง และลดกลิ่นปาก

  ตามที่มีการแนะนำข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับประเด็นเรื่องหมากพลูช่วยต้านมะเร็ง และลดกลิ่นปาก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีข้อมูลระบุว่าหมากพลูช่วยต้านมะเร็ง และลดกลิ่นปาก ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าหมากพลูช่วยต้านมะเร็ง และลดกลิ่นปากได้ ซึ่งการเคี้ยวหมากพลูเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสังคมไทยในอดีต โดยมีความเชื่อว่าการเคี้ยวหมากพลูนั้นจะทำให้สุขภาพช่องปากจะดี ฟันแน่น ไม่มีกลิ่นปาก อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหมากพลูต้านมะเร็งในมนุษย์นั้น พบว่าผลหมากมีสารจำพวกอัลคาลอยด์ (alkaloid) ประกอบด้วยอาเรเคน (arecaine) และอาเรโคลีน (arecoline) ซึ่งเป็นสารเสพติดอย่างอ่อน กระตุ้นประสาทส่วนกลาง การบริโภคหมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก นอกจากนี้องค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (The International Agency for Research on Cancer ; IARC) กำหนดให้หมากพลูที่ผสมใบยาสูบและไม่ผสมใบยาสูบเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 1 คือ เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/หรือสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th)หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ :…

สารเซซามินจากงาดำช่วยทำลายเกราะเซลล์มะเร็ง โดยให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปทำลายตัวเซลล์มะเร็งได้ จริงหรือ?

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสารเซซามินจากงาดำช่วยทำลายเกราะเซลล์มะเร็ง โดยให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปทำลายตัวเซลล์มะเร็งได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง ข้อมูลงานวิจัยด้านการใช้สารสกัดเซซามินในการทำลายเซลล์มะเร็งนั้นส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับเซลล์และสัตว์ทดลอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารดังกล่าวส่งผลในการทำลายเซลล์มะเร็งในมนุษย์ โดยเซซามิน (Sesamin) เป็นสารสำคัญที่พบได้จากงาดำ จัดอยู่ในกลุ่มสารลิกแนนที่สามารถละลายได้ในไขมัน ซึ่งข้อมูลการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารเซซามินในด้านที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง พบว่าสารนี้ทำให้เกิดกลไกการยับยั้งการเจริญและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการศึกษาวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น และปัจจุบันยังไม่พบรายงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดถึงประสิทธิภาพของสารเซซามินในการทำลายเซลล์มะเร็งที่ศึกษาในมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th) หรือโทร. 02 2026800

ข่าวปลอม อย่าแชร์! หากผู้ชายมีความเครียดและทำงานหนัก จะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องหากผู้ชายมีความเครียดและทำงานหนัก จะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการบอกต่อข้อมูลโดยระบุว่าหากผู้ชายมีความเครียดและทำงานหนัก จะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีข้อมูลว่าอายุที่มากขึ้นและมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าความเครียด และทำงานหนัก จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายต่อสภาวะกดดันทางกาย จิตใจ และอารมณ์ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าความเครียดอาจเกี่ยวข้องกับการขยายขนาดและแพร่กระจายของมะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามความเครียดไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง แต่ความเครียดอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น  ความเครียดส่งผลกระทบหลายด้าน ดังนั้นควรหาวิธีผ่อนคลายจากภาวะเครียด เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ชอบ นั่งสมาธิ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และหากมีความผิดปกติเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะ ได้แก่ ปัสสาวะออกยาก ปัสสาวะไม่สุด เป็นต้น ควรรีบพบแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ  และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ :…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! บอระเพ็ดพุงช้าง ช่วยรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ

ตามที่ได้มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง บอระเพ็ดพุงช้าง ช่วยรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าบอระเพ็ดพุงช้าง นำมาดองกับเหล้ากินเป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยรักษาโรคมะเร็งต่างๆ ได้นั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า บอระเพ็ดพุงช้าง (Stephania suberosa) เป็นไม้เถามีหัวกลมโผล่พ้นดิน จากการสืบค้นข้อมูลรายงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเบื้องต้นในการตรวจหาสารประกอบที่สำคัญของบอระเพ็ดพุงช้างซึ่งพบว่าพืชในสกุลนี้ประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิด เช่น แอลคาลอยด์ (alkaloids) ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) และสเตียรอยด์ (steroids) เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าบอระเพ็ดพุงช้างสามารถใช้เป็นยารักษามะเร็งในมนุษย์ได้ ซึ่งผู้ที่จะใช้สมุนไพรควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าบอระเพ็ดพุงช้างสามารถใช้เป็นยารักษามะเร็งในมนุษย์ได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! เคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน

ตามที่มีการแชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีคลิปวิดีโอแนะนำข้อมูลสุขภาพโดยระบุว่าเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย เห็นผลใน 1 เดือน ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าจากข้อมูลวิชาการ ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานเมล็ดมะละกอสุกช่วยรักษามะเร็งระยะสุดท้ายในคนได้ อย่างไรก็ตาม เมล็ดมะละกอประกอบไปด้วยสารต่าง ๆ เช่น กรดไขมัน โปรตีน และใยอาหาร เป็นต้น เมล็ดมะละกอถูกนำมาใช้ปรุงอาหารหรือทำเป็นยารักษาโรคตามภูมิปัญหาพื้นบ้านในบางประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยที่พบสารสำคัญของเมล็ดมะละกอ เช่น สารเบนซิลกลูโคซิโนเลต (benzyl glucosinolate) ซึ่งจะถูกไฮโดรไลท์ไปเป็นสารเบนซิลไอโซไทโอไซยาเนท (benzyl Isothiocyanate) ที่มีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยยับยั้งการแบ่งตัวเซลล์มะเร็ง แต่การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นเพียงการศึกษาที่อยู่ในระดับหลอดทดลองเท่านั้น และยังไม่มีการศึกษาในระดับสัตว์ทดลองหรือในมนุษย์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ดื่มน้ำสกัดจากใบบัวบก ผักชีลาว คื่นช่าย และมะระขี้นก ช่วยรักษามะเร็งก้านสมอง

  ตามที่มีการแชร์คลิปวิดีโอตามสื่อออนไลน์ เรื่อง ดื่มน้ำสกัดจากใบบัวบก ผักชีลาว คื่นช่าย และมะระขี้นก ช่วยรักษามะเร็งก้านสมอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จกรณีคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ให้ดื่มน้ำสกัดจากใบบัวบก ผักชีลาว คื่นช่าย และมะระขี้นก เพื่อหวังผลในการรักษามะเร็งก้านสมองนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบว่าพืชผักดังกล่าวไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ เนื่องจากอาหารในกลุ่มพืชผักสมุนไพรอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารโมโนเทอร์ปีน ไทรเทอร์ปีนส์ ฟลาโวนอยด์ โพลีฟีนอล เบต้าแคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงผลการศึกษาเบื้องต้น และยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันว่าพืชผักดังกล่าวช่วยรักษามะเร็งก้านสมอง และมะเร็งต่อมไทรอยด์ในมนุษย์ได้ ซึ่งการรับฟังข้อมูลที่ไม่ผ่านการพิจารณาหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ปัจจุบันยังไม่พบข้อมูลทางวิชาการที่สามารถนำมายืนยันได้ว่าใบบัวบก ผักชีลาว คึ่นฉ่าย และมะระขี้นกสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ต้นสะเดาดำ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้

ตามที่มีกระแสข่าวตามสื่อออนไลน์ เรื่อง ต้นสะเดาดำ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าสะเดาดำสามารถนำมารับประทานเพื่อรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสะเดาดำช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ โดยต้นสะเดาดำ สามารถนำยอดและดอกมารับประทานได้เหมือนกับยอดสะเดาเขียวทั่วไป แต่พืชสะเดาดำนอกจากจะเป็นอาหารได้แล้วยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ได้แก่ ลดความดันโลหิตสูง ลดน้ำตาลในเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นต้น จากการศึกษาข้อมูลพบว่าสารสำคัญที่พบมากในสะเดาดำ คือ แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีบทบาทในการช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคระบบหัวใจหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ในด้านการรักษาโรคไม่พบหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ อีกทั้งการรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโรคควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสะเดาดำช่วยรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ซึ่งการรับประทานเพื่อหวังผลในด้านการรักษาโรคควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! มังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็ง

ตามที่มีการแนะนำข้อมูลสุขภาพในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องมังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีการแชร์สรรพคุณของมังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สืบค้นข้อมูลทางวิชาการและชี้แจงว่ายังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ามังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ มังคุด (mangosteen) ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangostana Linn สรรพคุณของมังคุดตามตำรับยาไทยส่วนใหญ่ใช้แก้ท้องเสียและสมานแผล จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าเปลือกมังคุดมีสารแซนโทน ได้แก่ แมงโกสติน (mangostin) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำสารสกัดจากเปลือกมังคุดมาศึกษาวิจัยในระดับเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองที่ศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่พบหลักฐานงานวิจัยทางคลินิก การเผยแพร่ข้อมูลว่ามังคุดนึ่ง รักษาโรคมะเร็ง จากการสืบค้นข้อมูลพบว่ามังคุดที่ผ่านการนึ่งแล้วนั้น สารแซนโทนที่อยู่ในเปลือกมังคุดไม่ได้ซึมเข้าไปอยู่ในเนื้อมังคุดแต่อย่างใด ดังนั้นการรับประทานมังคุดนึ่งไม่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ามังคุดนึ่ง รักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ามังคุดนึ่งรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลกระเบา ช่วยรักษาโรคมะเร็ง

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ ในประเด็นเรื่อง ผลกระเบา ช่วยรักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการระบุสรรพคุณของกระเบาว่า สามารถแก้เสมหะเป็นพิษ รักษามะเร็งได้นั้น ทางทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สืบค้นข้อมูลทางวิชาการและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผลกระเบาสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ซึ่งกระเบา (Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness) เป็นพืชสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในตำรับยาพื้นบ้าน จากการสืบค้นข้อมูลวิชาการพบว่าพืชตระกูล Hydnocarpus มีประมาณ 40 สายพันธุ์ โดยพืชในตระกูลนี้มีสารสำคัญหลายชนิด เช่น flavonoids และ flavonolignans ซึ่งอาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านมะเร็ง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้นและเป็นการศึกษาวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผลกระเบาสามารถรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ จึงไม่ควรนำข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่อาจส่งผลทำให้ประชาชนมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนและอาจลดโอกาสการรักษาทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน โดยควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าผลกระเบาสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ใบทุเรียนเทศ! สามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้

ตามที่มีข่าวปรากฏตามสื่อ เกี่ยวกับประเด็น ใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีข่าวปรากฏตามสื่อเรื่อง ใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ โดยระบุว่า การนำใบทุเรียนเทศมาต้มเป็นชาแล้วรับประทาน จะช่วยในการฆ่าเซลมะเร็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำคีโมถึง 10,000 เท่า ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ ซึ่งแม้ว่าจะมีรายงานวิจัยส่วนหนึ่งที่ระบุว่าใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัดนั้น แต่ข้อมูลนี้เป็นเพียงงานวิจัยในระดับเซลล์ และสัตว์ทดลองเท่านั้น จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ ซึ่งใบทุเรียนเทศมีสารบางชนิดที่มีฤทธิ์เป็นยาระงับปวด สามารถต้านการอักเสบ และต้านการเกิดเนื้องอก ทั้งนี้การศึกษาวิจัยในคนมีความสำคัญ และจำเป็นต้องศึกษาหลายด้าน เช่น กลไกการออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การส่งสัญญาณภายในเซลล์ การแยกสารที่ออกฤทธิ์ชนิดต่าง ๆ การทดสอบด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย ตลอดจนการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่ายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในรูปแปบ แคปซูลหรือชาชง ผู้บริโภคควรศึกษาส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์และหากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใบทุเรียนเทศสามารถนำมาใช้เป็นยารักษามะเร็งในคนได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข