ไอเรื้อรัง สัญญาณเตือนมะเร็งปอด จริงหรือ?

ตามที่มีการโพสต์และแชร์ข้อความในสื่อต่างๆ ถึงประเด็นเรื่อง ไอเรื้อรัง สัญญาณเตือนมะเร็งปอด ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง จากข้อมูลทางวิชาการที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบพบว่า อาการไอเรื้อรังนั้นเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนมะเร็งปอดจริง โดยมะเร็งปอดเกิดจากการเจริญของเซลล์ในเนื้อเยื่อปอดมีการแพร่กระจายที่ควบคุมไม่ได้ โดยทั่วไปอาการของมะเร็งปอดมักปรากฏเมื่อเนื้อร้ายลุกลามไปมากแล้ว อาการที่พบบ่อยของโรคมะเร็งปอด เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด เหนื่อยหอบง่าย ปอดติดเชื้อบ่อย เป็นต้น สำหรับสาเหตุของมะเร็งปอดมาจากหลายปัจจัย เช่น การสูบบุหรี่ การสูดดมควันบุหรี่มือสอง แร่ใยหิน ก๊าซเรดอน สารเคมีและมลภาวะทางอากาศ รวมถึงผู้ที่เคยมีรอยโรคที่ปอด เช่น วัณโรค โรคถุงลมโป่งพอง จะมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งปอดสูงกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังกล่าวเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ :  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เชิญชวนคนไทยร่วมต้านภัยโรคมะเร็งเนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ 10 ธันวาคม ด้วยการศึกษาสัญญาณเตือน ปัจจัยเสี่ยงและวิธีหลีกเลี่ยงโรคมะเร็ง

นพ.สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวในพิธิเปิดกิจกรรม 10 ธันวาคม วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติว่า วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเป็นวันสถาปนาสถาบันมะเร็งแห่งชาติและวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่าร้อยละ 40 ของมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตนั้น เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาหายได้ถ้ารู้เร็ว ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติกล่าวว่า “ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน มีมะเร็งหลายอวัยวะที่สามารถรักษาให้หายได้ถ้ารู้เร็ว ซึ่งจากสถิติจะเห็นว่าร้อยละ 40 ของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาหายได้ ดังนั้น จุดสำคัญอยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนรู้เร็ว และสามารถเข้าสู่การรักษาได้เร็ว เราก็จะรักษาชีวิตคนไข้ได้ถึง 40 เปอร์เซนต์ของจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่อาจเสียชีวิตได้…” “สิ่งสำคัญอยู่ที่ประชาชนตระหนักรู้ว่าอะไรคือความเสี่ยง อะไรคืออาการเริ่มแรกที่ควรจะต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง ดังนั้น การรณรงค์ให้ประชาชนมีความตระหนัก มีความรู้เรื่องของปัจจัยเสี่ยง เรื่องของอาการแรกเริ่ม และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองได้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าการตั้งรับเพื่อรอให้การรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำไป…” โดยสัญญาณเตือนการเกิดโรค 7 ประการ ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง เป็นแผลเรื้อรัง ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลืนกินอาหารลำบาก ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป…

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ยืนยันว่า Ice Bathing ไม่ใช่วิธีรักษามะเร็ง และอาจมีอันตรายถึงชีวิตหากมีโรคประจำตัว

นพ.สกานต์ บุนนาค ผู้อำนายการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการ Ice Bathing ที่อ้างว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายให้ดีขึ้นได้ ว่ายังไม่มีขัอมูลทางการแพทย์ยืนยัน แม้ว่าจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีใช้ความเย็น แต่เครื่องมือดังกล่าวต้องมีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมคือต้องติดลบหลายองศา และ ใช้ความเย็นจัดเฉพาะที่ตัวก้อนมะเร็งด้วยเครื่องมือพิเศษโดยแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทาง ส่วนการลงแช่ในน้ำแข็งทั้งตัวนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าสามารถรักษาหรือชะลอโรคมะเร็งได้ ที่สำคัญอาจก่ออันตรายต่อสุขภาพ เพราะคนไข้มะเร็งส่วนใหญ่มักจะอายุมากและร่างกายไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิม ยิ่งถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอดร่วมด้วย ก็ยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงอุณภูมิร่างกายที่รวดเร็ว จากอุณหภูมิปกติไปสู่อุณภูมิที่เย็นจัด อาจจะไปกระตุ้นให้โรคหัวใจหรือปอดกำเริบรุนแรง ที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินแล้วนอน ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ ในประเด็นเรื่อง กินแล้วนอน ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการเผยแพร่ข้อมูลว่าหากกินแล้วนอน บ่อยๆ ทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งหลอดเลือดนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สืบค้นข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าการกินแล้วนอนเสี่ยงเกิดเป็นโรคมะเร็งหลอดเลือด ซึ่งพฤติกรรมกินแล้วนอน เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะอาการแสบร้อนกลางอกและอาการกรดไหลย้อน ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากภาวะที่หูรูดบริเวณส่วนปลายของหลอดอาหาร (Lower Esophageal Sphincter – LES) ทำงานผิดปกติทำให้กรดหรือน้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในบริเวณหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบเรื้อรังบริเวณหลอดอาหารและบริเวณกล่องเสียงได้ นอกจากนี้พฤติกรรมกินแล้วนอนอาจส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคอ้วน เป็นต้น จึงควรปรับพฤติกรรมโดยเว้นระยะเวลาการรับประทานอาหารและการนอนให้ห่างกันอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : พฤติกรรมกินแล้วนอน เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าการกินแล้วนอนเสี่ยงเกิดเป็นโรคมะเร็งหลอดเลือดได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! รอยจุดสีน้ำตาลที่พบบนเนื้อกระเทียม คือเชื้อราที่มีพิษ และเป็นสารก่อมะเร็ง

ตามที่ได้มีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง รอยจุดสีน้ำตาลที่พบบนเนื้อกระเทียม คือเชื้อราที่มีพิษ และเป็นสารก่อมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่ารอยจุดสีน้ำตาลที่พบบนเนื้อกระเทียม คือเชื้อรา ซึ่งส่วนใหญ่เชื้อราพวกนี้เป็นเชื้อราที่มีพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า จุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมอาจเกิดจากรอยช้ำของกระเทียมส่งผลให้เชื้อราหลากหลายชนิดอาจปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้นๆ โดยมักพบในกระเทียมที่มีการเก็บรักษาไม่เหมาะสมหรือเก็บไว้เป็นเวลานาน ตามที่มีข้อกังวลว่าเชื้อราที่อยู่บนกระเทียมอาจสร้างสารพิษหรือสารก่อมะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลงานวิจัย พบว่า เชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus เป็นเชื้อราที่สามารถสร้างสารอะฟลาทอกซินซึ่งจัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าพบสารอะฟลาทอกซินบริเวณรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียม จึงแนะนำให้ควรเลือกซื้อกระเทียมที่สดใหม่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ไม่มีลักษณะของเส้นใยและสปอร์ของเชื้อรา การเก็บรักษาควรเก็บไว้ในที่แห้งไม่อับชื้นและไม่เก็บไว้นานเกินไป หากพบรอยจุดสีน้ำตาลบนกระเทียมควรทิ้งไปทั้งกลีบหรืออาจหั่นบริเวณนั้นทิ้งและควรรับประทานกระเทียมที่ปรุงสุกเพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ งนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : รอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมคือรอยช้ำ จึงส่งผลให้เชื้อราหรือจุลินทรีย์ชนิดอื่น ๆ ปนเปื้อนหรือเข้าไปเจริญอยู่ในบริเวณรอยช้ำนั้น ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุว่ารอยจุดสีน้ำตาลบนเนื้อกระเทียมนี้มีสารก่อมะเร็ง หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! วางโทรศัพท์ติดตัวโดยไม่ปิดอินเทอร์เน็ต มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ในไม่ช้า

  ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเตือนโรคภัย ประเด็นเรื่อง วางโทรศัพท์ติดตัวโดยไม่ปิดอินเทอร์เน็ต มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ในไม่ช้า ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ระบุว่า คลื่นความถี่โทรศัพท์และคลื่นไวไฟเน็ตแรงมาก วางโทรศัพท์ไว้ติดตัวโดยไม่ปิดเน็ต มีโอกาสเป็นมะเร็งในเวลาไม่นาน ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แจงข้อมูลประเด็นดังกล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ โทรศัพท์มือถือนั้น จะมีการปล่อยคลื่นวิทยุออกมา ซึ่งได้แก่ สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต โดยสัญญาณเหล่านี้เป็นคลื่นวิทยุที่ให้ระดับของพลังงานน้อย จึงไม่เกิดผลกระทบต่อร่างกายร้ายแรง แม้ว่าคลื่นวิทยุที่ปล่อยออกมาจะสามารถทำให้เกิดความร้อนของเครื่องได้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าสัญญาณเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็ง ซึ่งผลกระทบในระยะยาวยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยหาความสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งต่อไปในอนาคต สำหรับผู้ที่ยังมีความกังวลว่าจะเกิดผลกระทบต่อร่างกาย สามารถป้องกันและลดการสัมผัสคลื่นวิทยุได้โดยการลดการใช้โทรศัพท์มือถือแนบใบหูเป็นระยะเวลานาน อาจเลือกใช้อุปกรณ์เสริม ได้แก่ สายหูฟัง การเปิดลำโพง เพื่อให้โทรศัพท์มือถืออยู่ห่างจากศีรษะในขณะใช้งาน เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (nci.go.th) หรือโทร. 02-202-6800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ ซึ่งผลกระทบในระยะยาวยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยหาความสัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งต่อไปในอนาคต  หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ…

บุหรี่ไฟฟ้าทำลายสุขภาพ

บุหรี่ไฟฟ้า  ภัยร้ายทำลายสุขภาพ ส่วนประกอบในบุหรี่ไฟฟ้า มี สารนิโคติน เป็นสารที่ทำให้ส่งผลต่อการประตุ้นประสาท เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงเป็นตัวการในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ อีกด้วย สารโพรไพลีนไกลคอล สารกลีเซอรีน และ สารแต่งกลิ่นรส เมื่อสูดดมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และปอดได้ หยุดสูบ… หยุดทำลายสุขภาพ #สถาบันมะเร็งแห่งชาติ #กรมการแพทย์

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ต้นจักรนารายณ์ ช่วยรักษามะเร็งในมนุษย์ได้

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ ในประเด็นเรื่อง ต้นจักรนารายณ์ ช่วยรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการเผยแพร่ข้อมูลชวนเชื่อถึงสมุนไพรต้นจักรนารายณ์ ว่ามีสรรพคุณช่วยรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สืบค้นข้อมูลและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าต้นจักนารายณ์รักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ โดยจักรนารายณ์ ชื่ออื่น ๆ แป๊ะตำปึง ผักพันปี เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Gynura procumbens (Lour.) Merr. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Gynura divaricata (L.) DC. จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น มีการนำใบของจักรนารายณ์มาใช้ในการรักษาฝี แก้ฟกบวม แก้คัน แก้พิษแมลงกัดต่อย งูสวัด และเริม เป็นต้น ใบจักรนารายณ์พบสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารฟลาโวนอยด์ เทอร์พีนอยด์ ซาโปนิน และแทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบจึงมีการนำสารสกัดจากใบจักรนารายณ์มาศึกษาวิจัยในระดับเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวเป็นการศึกษาเบื้องต้นที่อยู่ในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ :…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ต้นดีปลาช่อน มีฤทธิ์รักษาโรคมะเร็ง

ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏในสื่อออนไลน์ ในประเด็นเรื่อง ต้นดีปลาช่อน รักษาโรคมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากที่มีการระบุสรรพคุณของต้นดีปลาช่อน ว่ามีฤทธิ์ในการรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สืบค้นข้อมูลทางวิชาการและชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าต้นดีปลาช่อนสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ โดยดีปลาช่อน (Tacca chantrieri Andre) หรือเนระพูสีไทย เป็นไม้ล้มลุกที่มีเหง้าใต้ดิน จากการสืบค้นข้อมูลพบว่ามีการนำส่วนต่าง ๆ ของต้นดีปลาช่อนมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะส่วนของเหง้าดีปลาช่อน ซึ่งรายงานการศึกษาวิจัย พบว่า เหง้าดีปลาช่อนประกอบไปด้วยสาร diarylheptanoids และ steroidal glycosides ที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยระดับเซลล์ที่ศึกษาในระดับห้องทดลองเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีงานวิจัยที่ศึกษาการใช้ดีปลาช่อนรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ จึงควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าต้นดีปลาช่อนสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ :…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! เปลือกและรากของต้นแทงทวย ใช้รักษาโรคมะเร็งได้

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เปลือกและรากของต้นแทงทวย ใช้รักษาโรคมะเร็งได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ กรณีการระบุสรรพคุณของต้นแทงทวยว่าสามารถใช้เปลือกและราก ในการรักษามะเร็งได้นั้น ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลวิชาการ และชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่มีข้อมูลที่สามารถยืนยันได้ว่าเปลือกหรือรากของต้นแทงทวย สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งแทงทวย หรือสีเสียดน้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Mallotus plicatus เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง พบตามป่าไม้ผลัดใบ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าเปลือกต้นแทงทวยประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มไตรเทอร์พีนอยด์ เบอจินีน เดาโคสเตอรอล และสารประกอบฟีนอลิค อย่างไรก็ตามการศึกษาด้านสรรพคุณทางการแพทย์ของแทงทวยมีจำนวนน้อย อีกทั้งยังเป็นเพียงการศึกษาระดับเซลล์และสัตว์ทดลองเท่านั้น จึงไม่มีข้อมูลเพียงพอและไม่สามารถสรุปได้ว่าเปลือกหรือรากของต้นแทงทวยสามารถนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ โดยการนำพืชสมุนไพรมาใช้เพื่อหวังผลทางการรักษา โดยไม่ทราบรายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษาที่เหมาะสม หากผู้ป่วยมะเร็งต้องการใช้ยาสมุนไพรเสริมการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800 บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพียงพอและไม่สามารถสรุปได้ว่าเปลือกหรือรากของต้นแทงทวยสามารถนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข