ข่าวปลอม อย่าแชร์! ดื่มน้ำอาร์ซี ช่วยรักษามะเร็ง

  ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการดื่มน้ำอาร์ซีรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ น้ำชีวจิตหรือน้ำอาร์ซี (Rejuvenating Concoction, RC) เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของธัญพืช 9 ชนิด ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย ลูกบัว ข้าวฟ่าง ข้าวมันปู ข้าวซ้อมมือ และข้าวเหนียวกล้อง โดยนำมาต้มจนสุก แล้วรินเอาเฉพาะน้ำมาดื่ม น้ำอาร์ซีประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการ ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียและช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำน้ำอาร์ซีมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง น้ำอาร์ซี ถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรศึกษารายละเอียดส่วนผสม และกระบวนการผลิตที่ถูกหลักอนามัย การใช้เพื่อหวังผลด้านการรักษาโรคควรปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวบิดเบือน อย่าแชร์! ห้ามกินมันฝรั่งที่มีหน่อ งอกออกมาเพราะมีสารมีโซนินซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง

ข้อเท็จจริง : มันฝรั่งมีหน่อ งอกออกมามีสารโซลานีนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่สารนี้ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าห้ามกินมันฝรั่งที่มีหน่อ งอกออกมาเพราะมีสารมีโซนินนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่ามันฝรั่งที่มีการงอกหน่อหรือลำต้นแทงขึ้นมาจะมีสารโซลานีน (solanine) ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามสารนี้ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง แต่สารโซลานีนเป็นสารในกลุ่มไกลโคแอลคาลอยด์ มีรสขม พบมากในรากของมันฝรั่ง หากได้รับสารนี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ท้องเสีย และหากได้รับในปริมาณมากจะส่งผลต่อระบบประสาท หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ มีไข้ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นไม่ควรบริโภคมันฝรั่งที่มีหน่อ งอกออกมา เนื่องจากจะมีสารโซลานีนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรเลือกซื้อมันฝรั่งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยตัด ฟกช้ำ ตำหนิ เป็นแผล ไม่แตกหน่อ ไม่มีจุดเขียว และควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! สบู่เหลวจะมีสารซักฟอก หากใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน จะเป็นสารก่อมะเร็ง

  ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้สบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกในชีวิตประจำวันทั่วไปทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง สบู่เหลวทำมาจากปฏิกิริยาระหว่างไขมันกับด่าง และอาจมีการเติมสารเคมีหลายชนิด เช่น สารลดแรงตึงผิวหรือสารซักฟอก สารเพิ่มฟอง สารเพิ่มความหนืด สารกันเสีย สารเพิ่มความชุ่มชื้น และสารปรับความเป็นกรดด่าง เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน สบู่เหลวบางประเภทมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวที่ชื่อว่า โซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate , SLS) และโซเดียมลอเรตซัลเฟต (Sodium Laureth Sulfate, SLES) สารเหล่านี้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาว่ามีความปลอดภัยสามารถใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้หากใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารเอสแอลเอสและสารประกอบตระกูลเอมีน (amine) อาจทำปฏิกิริยากันและจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งนั้น จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สารเอสแอลเอสสามารถทำปฏิกิริยากับสารตระกูลเอมีนแล้วเกิดเป็นสารไนโตรซามีนได้ แต่จะต้องมีองค์ประกอบหรือสภาวะที่เหมาะสม เช่น ต้องทำปฏิกิริยากันภายใต้อุณหภูมิที่สูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ดังนั้นการใช้สบู่เหลวในชีวิตประจำวันทั่วไปจะทำให้มีโอกาสเกิดสารก่อมะเร็งได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามการใช้สบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารเอสแอลเอสอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและผิวหนัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนี้และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกาย รวมถึงสภาพผิวของแต่ละคนด้วย สบู่เหลวจัดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจึงแนะนำให้เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือและมีใบรับจดแจ้งเครื่องสำอางที่ฉลากทุกครั้ง หากผู้บริโภคต้องการหลีกเลี่ยงสารเอสแอลเอสในผลิตภัณฑ์ สามารถเลือกใช้เครื่องสำอางที่ฉลากระบุว่า “Sodium Lauryl Sulfate Free” ได้ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร.…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! สารบอแรกซ์ สามารถรักษาโรคมะเร็งได้

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารบอแรกซ์สามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ สารบอแรกซ์ (Sodium Borate) หรือ น้ำประสานทอง เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผงละเอียดสีขาว ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้ เป็นสารที่ถูกนําไปใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ทําแก้ว เพื่อให้ทนต่อความร้อน หรือใช้เป็นสารประสานในการเชื่อมทอง รวมทั้งใช้ในเครื่องสําอาง สารบอแรกซ์เป็นสารปนเปื้อนพบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ (หมูบด ปลาบด ลูกชิ้น ไส้กรอก ฯลฯ)  ผักและผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม ขนมหวานที่ทำจากแป้ง (ทับทิมกรอบ ลอดช่อง ฯลฯ) โดยสารนี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย เป็นพิษต่อตับและไต ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หากได้รับสารบอแรกซ์ในปริมาณสูงก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้สารบอแรกซ์ เป็นวัตถุห้ามใช้ในอาหาร เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ไม่พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำสารบอแรกซ์ไปใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ปัจจุบันยังมีผู้ผลิตอาหารบางรายลักลอบใช้สารบอแรกซ์ผสมในอาหาร ผู้บริโภคควรเลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ หรือผ่านการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผลิตภัณฑ์ ชาสมุนไพรเจียวกู่หลาน สามารถรักษามะเร็งได้

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าชาสมุนไพรเจียวกู่หลานรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ เจียวกู่หลาน หรือ ปัญจขันธ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Gynostemma pentaphyllum (Thunb.) Makino ในทางการแพทย์ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน และใช้พอกรักษาแผล จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าเจียวกู่หลานมีสารจีปีโนไซด์ (gypenosides) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำสารสกัดจากเจียวกู่หลานมาศึกษาวิจัยในระดับเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองที่ศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าเจียวกู่หลานจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ สมุนไพรมีคุณประโยชน์แต่ควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ชนิดของสมุนไพร ฤทธิ์ทางเภสัช และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวบิดเบือน อย่าแชร์! สารสกัดจากใบบัวตองสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้

  ข้อเท็จจริง : สารสกัดจากใบบัวตองสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสามารถยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ บัวตอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Tithonia diversifolia (Hemsl.) A. Gray จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและแถบอเมริกากลาง บัวตองมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ แอลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ ฟีนอล ซาโปนิน  แทนนิน และเทอร์ปีนอยด์ จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าใบบัวตองมีสาร sesquiterpene ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงมีการนำสารสกัดจากใบบัวตองมาศึกษาวิจัยในระดับเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองที่ศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อย่างไรก็ตามงานวิจัยระดับเซลล์ที่ศึกษาเรื่องนี้มีจำนวนน้อย และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าสารสกัดจากใบบัวตองจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ สมุนไพรมีคุณประโยชน์แต่ควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ชนิดของสมุนไพร ฤทธิ์ทางเภสัช และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ดื่มน้ำต้มลำต้นและรากมะแว้งนกช่วยรักษาโรคมะเร็งเต้านมได้

  ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการดื่มน้ำต้มลำต้นและรากมะแว้งนกช่วยรักษาโรคมะเร็งเต้านมในมนุษย์ได้ ต้นมะแว้งนก (Solanum nigrum) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก จากการสืบค้นข้อมูล พบว่า พืชชนิดนี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารและทำเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านสำหรับบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ท้องอืดลดอาการไข้ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นลักษณะภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มักเป็นการบอกเล่าสรรพคุณต่อ ๆ กันมา และมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันมีงานวิจัยที่ศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการรายงานว่ามะแว้งนกประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารพฤกษาเคมีหลายชนิด (Phytochemicals) สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยทางคลินิกหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันแน่ชัดว่าการดื่มน้ำต้มลำต้นและรากของมะแว้งนกช่วยรักษาโรคมะเร็งเต้านมในมนุษย์ได้ ควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์!! ทุก ๆ 2 ชั่วโมง มีผู้หญิงไทยต้องเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกไป 1 ราย

ข้อเท็จจริง : มะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มอุบัติการณ์การเกิดโรคลดลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าในปี 2564ผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 2,258 ราย มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ Human Papilloma Virus (HPV) ผ่านทางเพศสัมพันธ์ดังนั้นการมีคู่นอนหลายคนหรือการมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อมากขึ้น อย่างไรก็ตามมะเร็งปากมดลูกถือเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันและตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกทำให้การรักษาได้ผลดีผู้ป่วยมีโอกาสหายจากโรคสูง กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวจึงได้ผลักดันโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกระดับประเทศขึ้นทำให้ผู้หญิงไทยอายุ 30-60 ปี ทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายส่งผลให้อุบัติการณ์การเกิดโรคมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติรายงานว่ามะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย โดยพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 5,400 รายต่อปี สำหรับข้อมูลอัตราการเสียชีวิต กองยุทธศาสตรและแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานในปี 2564 มีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 2,258 ราย หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อ 1 ราย ดังนั้นการเผยแพร่ข้อมูลว่าทุก ๆ 2 ชั่วโมงมีผู้หญิงไทยต้องเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกไป 1 รายนั้นจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้จากการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีความผิดปกติ เช่น เลือดออกทางช่องคลอดหรือตกขาวผิดปกติ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์…

ข่าวปลอม!! อย่าแชร์!! ว่านชักมดลูกเป็นยารักษาโรคมะเร็ง

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าว่านชักมดลูกรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ ว่านชักมดลูก เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีหลายสายพันธุ์ ตามตำรับยาไทยนิยมใช้ว่านชักมดลูกตัวเมีย (Curcuma comosa Roxb.) แก้มดลูกอักเสบ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขับน้ำคาวปลา เป็นต้น จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าว่านชักมดลูกตัวเมียมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น สารไฟโตเอสโตรเจน สารกลุ่มไดแอริลเฮปทานอยด์ และสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ เป็นต้น จึงมีการนำสารสกัดจากว่านชักมดลูกตัวเมียมาศึกษาวิจัยในระดับเซลล์พบว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองที่ศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าว่านชักมดลูกตัวเมียจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนใช้ควรศึกษาข้อมูลและข้อควรระวังต่าง ๆ รวมทั้งปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  

ข่าวบิดเบือน อย่าแชร์!! มะตูมแขกช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง

  ข้อเท็จจริง : ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าสารสำคัญของมะตูมแขกช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในระดับหลอดทดลองเท่านั้น อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพการทำลายเซลล์มะเร็งที่ศึกษาในมนุษย์ ข้อสรุป : ข่าวบิดเบือน           ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอว่าการรับประทานมะตูมแขกช่วยทำลายเซลล์มะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่ามะตูมแขก (Schinus terebinthifolius Raddi) เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของประเทศทางอเมริกาใต้นิยมใช้เปลือกต้นและใบเป็นยาช่วยสมานแผล แก้อักเสบ ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการปวดข้อ ปัจจุบันมีงานวิจัยที่ศึกษาสารสำคัญจากใบ เปลือกต้น และผลของมะตูมแขกซึ่งพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น สารฟลาโวนอยด์ สารแทนนิน และกรดแกลลิก โดยสารเหล่านี้มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการศึกษาวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น และยังไม่พบรายงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดถึงประสิทธิภาพของมะตูมแขกหรือสารสกัดจากมะตูมแขกในการทำลายเซลล์มะเร็งที่ศึกษาในมนุษย์           สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนใช้ควรศึกษาข้อมูลและข้อควรระวังต่าง ๆ รวมทั้งปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด           ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอม และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข