ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำมันพืชอันตรายต่อร่างกายและ เป็นสาเหตุการก่อมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอด

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานน้ำมันพืชเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ข้อสรุป : ข่าวไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าน้ำมันพืชอันตรายต่อร่างกายและเป็นสาเหตุการก่อมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปอดนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานน้ำมันพืชเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง น้ำมันพืชประกอบด้วยกรดไขมัน 3 ประเภทในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป ได้แก่ กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้มีความสำคัญต่อร่างกายหลายด้าน เช่น เป็นโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยในการดูดซึมวิตามินและผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย และเป็นแหล่งพลังงานสะสมเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ตามควรจำกัดปริมาณการรับประทานน้ำมันในแต่ละวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ ข้อแนะนำ : ควรหลีกเลี่ยงการซื้อและรับประทานอาหารที่มีการใช้น้ำมันทอดซ้ำ โดยสังเกตได้จากน้ำมันมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ มีฟองมาก เป็นควันง่าย และมีกลิ่นเหม็นไหม้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์มะเร็ง การงดเว้นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อและค่อย ๆ ตาย

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่าการงดเว้นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อและค่อย ๆ ตาย ข้อสรุป : ข่าวปลอม ผลกระทบ : ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าน้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์มะเร็งและการงดเว้นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เซลล์มะเร็งฝ่อและค่อย ๆ ตายนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกายช่วยให้ระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายและเนื้อเยื่อต่าง ๆ สามารถทำงานได้เป็นปกติยิ่งขึ้น การงดเว้นน้ำตาลโดยเด็ดขาดอาจจะทำให้ขาดภาวะสมดุลทางโภชนาการ โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งหากร่างกายไม่ได้รับพลังงานอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายอ่อนแอส่งผลเสียต่อการรักษาและอาจเป็นสาเหตุทำให้มะเร็งลุกลามได้ ดังนั้นการงดเว้นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเซลล์มะเร็ง ข้อแนะนำ : ควรรับประทานน้ำตาลตามธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหารแบบไม่ผ่านกรรมวิธีการผลิต เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกินความจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่มีรสหวานจัด ขนมหวาน เพราะอาจจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! กัญชาทำให้มะเร็งไม่โต แคระแกร็นและเหี่ยวตาย

ข้อเท็จจริง : ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการรับประทานใบกัญชาสดหรือสารสกัดกัญชาช่วยยับยั้งการแพร่กระจายหรือรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ ข้อสรุป : ข่าวปลอม ผลกระทบ : พืชกัญชามีสารประกอบทางเคมีหลายชนิด โดยกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) เช่น Tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) เป็นกลุ่มสารสำคัญที่มีข้อมูลนำมาใช้ทางการแพทย์ ปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาการนำสารสกัดจากกัญชามาใช้ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยระดับเซลล์และสัตว์ทดลองในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น ส่วนการผลศึกษาวิจัยทางคลินิกหรือการศึกษาในมนุษย์มีจำนวนน้อยจึงมีหลักฐานเชิงประจักษ์ไม่เพียงพอและไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าการรับประทานใบกัญชาสดหรือสารสกัดจากกัญชาจะสามารถยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งหรือรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามมีข้อมูลการใช้กัญชาในการบำบัดอาการข้างเคียงในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด /หรือในผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น การใช้กัญชาเพื่อลดอาการคลื่นไส้ บรรเทาอาการปวด เป็นต้น ข้อแนะนำ : หากต้องการใช้สมุนไพรควรศึกษารายละเอียดด้านสรรพคุณ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และวิธีการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! หากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที

ตามที่มีการบอกต่อข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ จากกรณีที่มีผู้โพสต์ระบุว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันที ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ความเครียด คือ การตอบสนองของร่างกายต่อสภาวะกดดันทางกาย จิตใจ และอารมณ์ เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะมีการสร้างฮอร์โมนเพื่อตอบสนองต่อความเครียดนั้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นพบว่าความเครียดอาจเกี่ยวข้องกับการขยายขนาดและแพร่กระจายของมะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าการมีความเครียดน้อย ๆ ในช่วงสั้น ๆ จะทำให้ร่างกายตื่นตัว ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในทางกลับกันหากความเครียดนั้นกินระยะเวลายาวนานจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ และอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลว่าหากมีความเครียดติดต่อกัน 5 วัน เซลล์ในร่างกายจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ทันทีนั้น พบว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันแน่ชัด และหากความเครียดส่งผลกระทบหลายด้าน จึงควรหาวิธีผ่อนคลายจากภาวะเครียด เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ชอบ นั่งสมาธิ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! Mistletoe ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง ทางเลือกใหม่ที่ไม่ทำลายเม็ดเลือดขาว

ประเด็น : Mistletoe ยาฆ่าเซลล์มะเร็งทางเลือกใหม่ที่ไม่ทำลายเม็ดเลือดขาว ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่ามิสเซิลโทรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : Mistletoe (มิสเซิลโท) เป็นพืชกาฝากหรือพืชเบียน (Parasitic plants) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Viscum album ซึ่งเจริญเติบโตบนกิ่งพืชไม้ยืนต้นชนิดอื่น เช่น ต้นแอปเปิ้ล ต้นโอ๊ค ต้นเมเปิ้ล เป็นต้น มิสเซิลโทมีถิ่นกำเนิดในยุโรปและเอเชียตะวันตก ในประเทศทวีปยุโรปมีการใช้สารสกัดจากมิสเซิลโททางด้านการแพทย์เป็นทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดผลข้างเคียงของการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดและการฉายรังสี เช่น ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไม่อยากอาหาร จากการสืบค้นงานวิจัยพบว่าในมิสเซิลโทมีสารเลคติน (lectin) ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดี นอกจากนี้ยังพบสารวิสโคท็อกซิน (viscotoxins) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำสารสกัดจากมิสเซิลโทมาใช้ทดสอบฤทธ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตามงานวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยระดับเซลล์ในห้องปฏิบัติเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าจะสามารถรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ได้ และปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่อนุมัติให้ใช้สารสกัดจากมิสเซิลโทเพื่อรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์ ข้อแนะนำ : การใช้การแพทย์ทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็งควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร.…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ธาตุเหล็กในพืชดีกว่า ธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์

  ข้อเท็จจริง : ธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าธาตุเหล็กจากพืช ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งพบในฮีโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดฮีม (Heme iron) และชนิดไม่ใช่ฮีม (Non–heme) โดยธาตุเหล็กชนิดฮีมพบมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์สีแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะ เป็นต้น ส่วนชนิดไม่ใช่ฮีมพบมากในพืชผัก ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง แม้ว่าจะมีข้อมูลแสดงความเชื่อมโยงว่าการรับประทานอาหารประเภทเนื้อแดงสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง อย่างไรก็ตามจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กชนิดฮีมจากเนื้อสัตว์ได้ดีกว่า ดังนั้นผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรรับประทานพืชผักที่มีธาตุเหล็กให้มากขึ้น ซึ่งหากร่างกายขาดธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางส่งผลเสียต่อสุขภาพ อีกทั้งเนื้อสัตว์ก็ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงไม่ควรงดรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ข้อแนะนำ : ข้อมูลจาก World Cancer Research Fund International หรือกองทุนวิจัยมะเร็งโลกแนะนำให้รับประทานเนื้อแดงไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีความหลากหลาย หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! วิธีการตรวจมะเร็งง่าย ๆ โดยการเอาน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ

ข้อเท็จจริง : การนำน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ ไม่ใช่วิธีการตรวจหาโรคมะเร็ง ข้อสรุป : ข่าวปลอม ผลกระทบ : การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกหรือการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เป็นการตรวจร่างกายในผู้ที่ยังไม่มีอาการของโรคเพื่อค้นหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ โดยทั่วไปหลักการที่สำคัญในการตรวจค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรก ได้แก่ การสอบถามประวัติสุขภาพและพฤติกรรมการใช้ชีวิต การตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่น การตรวจเต้านม การตรวจทวารหนัก การตรวจปากมดลูก และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเม็ดเลือด การเอกซเรย์ปอด ซึ่งหัตถการเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการพิจารณาหรือวินิจฉัยโดยแพทย์ ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าวิธีการตรวจมะเร็งง่าย ๆ โดยการเอาน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูดๆ เกาๆ นั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าวิธีดังกล่าวไม่สามารถตรวจหามะเร็งได้ เนื่องจากการตรวจคัดกรองมะเร็งแต่ละชนิดนั้น มีวิธีการและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันโรคมะเร็งที่สามารถคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ http://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02 2026800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์…

ข่าวปลอม อย่าแชร์! โปรตีนจากอกไก่ปั่นไข่ขาว เป็นอาหารเลี้ยงเซลล์มะเร็ง

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่าโปรตีนจากอกไก่ปั่นไข่ขาว เป็นอาหารเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ข้อสรุป : ข่าวปลอม ผลกระทบ : โปรตีนเป็นสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการมีประโยชน์หลายด้าน เช่น ช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสารภูมิต้านทานเพื่อต่อต้านการติดเชื้อ เป็นต้น จากการเผยแพร่ข้อมูลว่าโปรตีนจากอกไก่ปั่นไข่ขาว เป็นอาหารเลี้ยงเซลล์มะเร็งนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่าอกไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่ให้พลังงานสูงและอุดมไปด้วยโปรตีนจำนวนมาก มีไขมันน้อย ส่วนไข่ขาวจัดเป็นโปรตีนคุณภาพดีมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งการรับประทานโปรตีนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ไม่รับประทานอาหารที่มีโปรตีนนั้น ร่างกายจะไปสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทนทำให้ร่างกายทรุดโทรม ขาดสารอาหาร นอกจากนี้การขาดโปรตีนในผู้ป่วยมะเร็งจะมีผลให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำซึ่งมีผลกระทบต่อการรักษา ดังนั้นการรับประทานอกไก่และไข่ขาว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ข้อแนะนำ : ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรุงสุก สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือhttp://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ: สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามรับประทานปลา เพราะโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์

ข้อเท็จจริง : จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการพบว่าเป็นข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ยืนยันแน่ชัดว่าโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ และไม่มีข้อห้ามในการรับประทานปลาในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผลกระทบ : ปลาถือเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย และไขมันต่ำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการโปรตีนสูงกว่าคนปกติ ซึ่งโปรตีนถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย การจำกัดปริมาณโปรตีนหรือการรับประทานอาหารแบบผิดวิธีตามความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพผู้ป่วยและอาจกระทบต่อการวางแผนการรักษา ข้อแนะนำ : ผู้ป่วยมะเร็งควรเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความต้องการของพลังงาน โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อร่างกายตามอายุ กิจกรรม และระดับความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันน้ำหนักลด การสูญเสียกล้ามเนื้อ และไม่ให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร มีสุขภาพที่แข็งแรง และลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทางโรงพยาบาลจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการคอยให้คำปรึกษากับผู้ป่วยอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือhttp://www.nci.go.th/ หรือโทร. 02-202-6800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวปลอม อย่าแชร์! คลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็ง

ข้อเท็จจริง : ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าคลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็ง ข้อสรุป : ไม่จริง/ข่าวปลอม ผลกระทบ : คลื่นจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุหรือเรียกสั้น ๆ ว่า “คลื่นวิทยุ” มีความถี่อยู่ในช่วงระหว่าง 3 กิโลเฮิรตซ์ จนถึง 300 กิกะเฮิรตซ์ ส่วนคลื่นไวไฟ (WiFi) เป็นระบบการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย โดยใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุเช่นเดียวกัน จากการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณของคลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือจากสถานีฐานในระยะ 400 เมตร พบว่ามีระดับความแรงตํ่ามากเมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสากล และนอกจากนี้ยังไม่พบงานวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่าคลื่นวิทยุเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นจากการเผยแพร่ข้อมูลว่าคลื่นแผ่จากเสาส่งโทรศัพท์มือถือและคลื่นไวไฟ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการก่อมะเร็งนั้น ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุในชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไปจะก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ ข้อแนะนำ : สำหรับความกังวลถึงผลกระทบของคลื่นวิทยุต่อสุขภาพนั้น พบว่าการใช้โทรศัพท์แนบหูต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้รู้สึกร้อนที่ใบหู การหลีกเลี่ยงคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ อาจทำได้โดยการใช้อุปกรณ์ Hand free เช่น เปิดลำโพง ใช้หูฟัง เป็นต้น ในกรณีเด็กที่ใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอเป็นประจำมักมีอาการแสบหรือปวดตา สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน และอาจก่อให้เกิดอาการของโรคสมาธิสั้นเทียม (Pseudo-ADHD) ได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง…